วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

สารบัญบล็อก

สื่อการสอนบัญชี
หนังสือบัญชีขั้นต้น
หนังสือบัญชีบริหาร
หนังสือบัญชีขั้นต้น ติดอันดับ 1 หนังสือขายดี
หนังสือบัญชีบริหาร ติดอันดับ 1 หนังสือขายดี
PowerPoint บัญชีขั้นต้น
PDF บัญชีขั้นต้น
PowerPoint PDF บัญชีบริหาร
VDO บทเรียนบัญชีขั้นต้น บทที่ 1
VDO บทเรียนบัญชีบริหาร บทที่ 2
MP3 บททดสอบ แนวคำตอบแบบฝึกหัด กระดาษคำตอบแบบฝึกหัด – บัญชีขั้นต้น และ บัญชีบริหาร
แก้ไขที่พิมพ์ผิดหนังสือบัญชีขั้นต้น สำหรับการพิมพ์ครั้งล่าสุด (ครั้งที่ 4)

บทความการเมือง
ทักษิณโกงจริงหรือ ???
ทักษิณขายหุ้น VS ลุงที่เชียงรายขายทองคำ
คำพูดของทักษิณที่แสดงถึงวิสัยทัศน์กว้างไกล
ทักษิณแปรรูปรัฐวิสาหกิจ “ ขายชาติ ชาติจะหายนะ ” จริงหรือ ???
การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของนักการเมือง
เลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน จ่ายหัวละ 4,000 บาท !!!!!!
รศ.ดร.สังศิต กับ ผลการศึกษากรณีชินคอร์ปที่ผิดพลาดและบิดเบือน
ข้อมูลจาก Forbes Thailand เชื่อถือได้ทุกเรื่องหรือไม่?

ดนตรี
Heavy Hard Hot – วิฑูร วทัญญู
Grand Funk Railroad สามหนุ่มผู้ปราดเปรียว
Michael Schenker กีตาร์กรีดและเขย่าหัวใจ
คนพันธุ์ Rock ออสซี่ ออสเบิร์น
ดนตรีกับการต่อต้านสงคราม
เนื้อเพลงของวง Black Sabbath มีสัมผัสสระด้วยหรือ???
เด็กญี่ปุ่นอายุ 9 ปี ดังระดับโลก ร่วมเล่นกีตาร์กับ Ozzy

ศาสนา
ประวัติพระพุทธเจ้า
วัดป่าห้วยบง เชียงราย

ภาษี
ทำไมคนบางกลุ่มอยากเสียภาษีเยอะ
ภาษีเงินได้ที่จะลดลง ถ้าเอาไปขึ้นเงินเดือนให้พนักงานทั้งหมด พนักงานปูนซิเมนต์ได้คนละเท่าใด
เปรียบเทียบการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อัตราเดิม vs อัตราใหม่
เครดิตภาษีเงินปันผล >>> รับค่าภาษีคืน

อื่นๆ
สถิติผู้ใช้ Facebook ในไทย
Thursday the 13th

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

Thursday the 13th

สารบัญบล็อก

เลข 13 ชาวคริสต์ถือว่าเป็นเลขอัปมงคล เชื่อมโยงมาจากเหตุการณ์ในสมัยพระเยซู กล่าวคือ สาวกของพระองค์12 คนร่วมโต๊ะอาหารกับพระองค์รวมเป็น 13 คน จูดาสผู้ทรยศต่อพระเยซูนั่งโต๊ะอาหารตำแหน่งที่ 13 ดังนั้น อาคารสูงในประเทศตะวันตกหลายแห่งมาก ในแผลงปุ่มกดในลิฟท์จะไม่มีเลข 13 ให้กดเพื่อให้ลิฟท์หยุดที่ขั้น 13 แต่เลี่ยงไปใช้ตัวเลขอื่นแทน เช่น 12A และติดป้ายชั้น 13 เป็น ชั้น 12A ตัวผมเกี่ยวข้องกับเลข 13 ทั้งทางตรงและทางอ้อมมากพอควร

ขอเริ่มด้วยเรื่องการเรียนของผมก่อนที่มันเกี่ยวกับเลข 13 โดยทางอ้อม

ผมเรียนจบม.ศ. 3 รร.สามชุกรัตนโภคาราม อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ต้นปี 2514 (ปีการศึกษา 2513) เพื่อนๆที่จบจากโรงเรียนเดียวกันที่เรียนต่อมัธยมปลายสายสามัญ (ม.ศ. 4-5) มีเพียง 4 หรือ 5 คนเท่านั้น (รวมทั้งตัวผม ตอนเรียนม.ศ. 2 มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนิสิตวิศวจุฬาฯ) เหตุที่นักเรียนทั้งประเทศไม่เลือกเรียนสายนี้เพราะร่ำลือกันว่ายากมากโดยเฉพาะแผนกวิทยาศาสตร์ มีนักเรียนเป็นจำนวนมากต้องลาออกไปเรียนช่างกล พาณิชย์ ครู เพราะเรียนไม่ไหว บางคนเรียน ใช้เวลา 3 ปี หรือ 4 ปี หรือ 5 ปี พูดง่ายๆตกซ้ำชั้นอยู่นั้นแหละ ต้องกล่าวคำว่า “มอศอห้าจ๋า ขอลาก่อน” ทุกคนที่เข้าเรียนมัธยมต้นรุ่นเดียวกับผม จะจบปีการศึกษาเดียวกันถ้าไม่ตกซ้ำชั้น (สมัยนั้นถ้าสอบชั้นไหนไม่ผ่านต้องเรียนซ้ำชั้นกับรุ่นน้อง ไม่เหมือนกับระบบการศึกษาในปัจจุบัน)

จบม.ศ. 5 (แผนกวิทยาศาสตร์) เมื่อ 5 ทศวรรษก่อน ก็คือเมื่อต้นปี 2516 (ปีการศึกษา 2515 เมื่อนำเอาตัวเลขทุกตัวมารวมกัน 2+5+1+5 = 13) การเรียน ม.ศ. 5 สมัยนั้นไม่มีคะแนนเก็บ ก็คือสอบเมื่อสิ้นเทอมสองเพียงครั้งเดียว โดยใช้ข้อสอบเหมือนกันทั่วประเทศ และสอบวันเดียวกันทั้งประเทศ อาจารย์ผู้คุมสอบจะเป็นอาจารย์จากโรงเรียนอื่น (คงกลัวอาจารย์ของโรงเรียนบอกนักเรียนมั๊ง) ประกาศผลสอบทางหนังสือพิมพ์ (ก่อนรุ่นผม 3 ปีประกาศผลสอบทางวิทยุ) เช่นเดียวกันกับมัธยมต้น ทุกคนที่เข้าเรียนมัธยมปลายสายสามัญรุ่นเดียวกับผม จะจบปีการศึกษาเดียวกันถ้าไม่ตกซ้ำชั้น

สอบ Entrance เลือกวิศวทั้ง 6 อันดับ อันดับ 1 จุฬาฯ (รหัสเลือก จฬ13) อันดับ 2 จุฬาฯสบทบ (รหัสเลือก จฬ13) อันดับ 3 ม.เกษตร อันดับ 4 ม.ขอนแก่น อันดับ 5 ส.พระจอมเกล้าธนบุรี และ อันดับ 6 ส.พระจอมเกล้านนทบุรี ผลปรากฏว่าความใฝ่ฝันที่จะเป็นนิสิตวิศวจุฬาฯตั้งแต่ตอนเรียน ม.ศ. 2 ต้องแห้ว แต่ก็ยังดีที่ติดวิศวพระจอมเกล้าธนบุรี เรียนได้ปีเดียวก็ถูก retire แห้วอีกแล้วGoo จากนั้นก็ไม่เคยใฝ่ฝันถึงจุฬาฯอีกเลย

ที่เขียนเริ่มเรื่องไว้แบบนี้เพื่อให้คนหลังรุ่นฺ Baby Boomer ก็คือ Gen X, Millennials, Gen Z และ Gen Alfa ได้รู้ว่า วิธีการวัดผลการศึกษาในประเทศไทยเมื่อ 5 ทศวรรษก่อนเป็นอย่างไร เชื่อว่ารู้เรื่องนี้น้อยมากกกกก เท่าที่เคยลองค้นดูยังไม่เจอคนเขียนเรื่องนี้ สำหรับ Baby Boomer ที่ยังมีชีวิตอยู่คงจะจำกันได้ กลับไปเข้าเรื่องเลข 13

หลังจากถูก retire ผมก็ไปทำงานตามโรงงานต่างๆหลายแห่ง แล้วกลับมาเรียนบัญชีที่รามจนจบ แล้วได้เข้ารับราชการเป็นนายทหารเหล่าการเงินเมื่อตอนต้นปี 2528 อยู่ได้เพียง 5 เดือนก็ลาออกเพราะแบกดาวบนบ่าและถือกระบี่ไม่ไหว (อะไรวะ แค่ดาวเดียวนะโว๊ย แล้วจะไปทำมาหากินอะไรได้) น้องชายบอกว่าไปสมัครสอบเข้าเรียนต่อป.โทดีมั๊ย ก็เลยย้อนถามกลับไปว่าใครจะส่งเสียให้เรียน น้องชายบอกว่าจะเป็นคนส่งเสียเอง นึกในใจน้องGooนี่มันแสนดีจริงๆ

ปี 2529 ก็คิดในใจว่า ขอฝันเป็นนิสิตจุฬาอีกครั้ง ไปสมัครสอบเข้าเรียนต่อปริญญาโทบัญชีจุฬาฯที่เดียวเท่านั้น วัดดวงชะตากันเลย หมายเลขผู้สมัครสอบคือ 13 และไปอธิษฐานกับพระวิษณุเทพที่เสาชิงช้าด้วยเพื่อให้มีกำลังใจ พร้อมกับขยันดูหนังสืออย่างเต็มที่  หลังสอบเสร็จคิดในใจว่า คงแห้วอีกตามเคย เมื่อประกาศผลสอบปรากฏว่าผมสอบติด ป.โท ตามหลักสูตรเรียน 2 ปี ถ้าเรียน 5 ปีแล้วไม่จบจะต้องถูกให้ออก เพื่อนที่เก่งเรียน 3 ปีจบ แต่ผมใช้เวลาเรียน 5 ปีเต็ม ยื่นหัวข้อที่จะทำวิทยานิพนธ์น่าเกือบ 10 หัวข้อได้มั๊ง กว่าจะได้รับการอนุมัติก็เกือบจะครบ 5 ปีแล้ว

ตอนไปรับปริญญา ลูกสาวของน้องชายไปด้วยและได้อุ้มหลานถ่ายรูปที่คณะ ต่อมาผมได้ทราบว่าหมายเลขประจำตัวของหลานตามทะเบียนบ้านเลข 3 ตัวหลังคือ 713 ตั้งแต่นั้นมาผมรักเลข 13 มากเพราะถือว่าเป็นเลขที่นำโชคมาให้ผม อ้าวลืมบอกไปเลยว่า น้องชายไม่ได้เป็นคนส่งเรียนนะ เพราะหลังจากที่ผมได้เป็นนิสิตจุฬา ผมก็ได้รับเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษที่โรงเรียนโยนออฟอาร์คพณิชยการสอนวิชาบัญชีให้กับนักเรียนบัญชีปี 3

ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าจะทำอะไรผมจะนึกถึงเลข 13 มาตลอด ขนาดผมต้องการตื่น 6 โมงเช้า ผมจะตั้งนาฬิกาให้ปลุกที่เวลา 6:07 น. (รวมกันได้ 13) การตั้งชื่อไฟล์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาพ วิดีโอ PowerPoint และไฟล์อื่นๆมักจะมีเลข 13 อยู่ด้วย url เว็บไซต์และบล็อกของผม ac13.tk (ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว) acc713.blospot.com

ต่อมาเมื่อต้นเดือนนี้ (11 พ.ย. 2566) มีคนขอเป็นเพื่อนทาง Facebook หลังรับเป็นเพื่อนแล้ว ผมก็ได้เข้าไปดูโปรไฟล์ อ้าวเคยสนิทสนมกันนี่น่า ถือได้ว่าเป็นคนสำคัญคนหนึ่งสำหรับผม ติดต่อกันครั้งสุดท้ายหลังจากผมได้เข้าเป็นนิสิตจุฬาฯได้สักสามสี่เดือน รวมเวลาขาดการติดต่อกันแล้วปาเข้าไปตั้ง 3.7 ทศวรรษ (ก่อนหน้านั้น 1 ปี ขณะนั้นผมยังรับราชการเป็นนายทหาร เราจากลากันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง สาวเจ้าดื่มเบียร์ผมสั่งไอศครีม) เจอเข้าอีกแล้วเลข 13 คือเกิดเดือนกรกฏาคมวันที่ 13 เขียนเดือนเป็นเลขด้วยก็คือ 713 เลขเดียวกับหมายเลขประจำตัวของหลาน เลข 3 ตัวสุดท้ายคือ 713

วันนั้นเปิด messenger พบว่าสาวเจ้าโทร.หาผมช่วงที่ผมปิดมือถือ และเขียนข้อความไว้บอกว่า ให้ผมโทร.กลับ แล้ววันนั้นเราก็ได้คุยกันหลังที่ขาดการติดต่อกัน 3.7 ทศวรรษ ผ่านมา 10 กว่าวัน มีความคิดแว๊บขึ้นมาว่า คงจะมีอะไรเกี่ยวกับ 13 อีกมั๊ง แล้วก็พบว่าวันที่ 11 พ.ย. 2566 ตรงกับแรม 13 ค่ำ เดือน 11 และเวลาที่ผมโทร.หาสาวเจ้าที่ปรากฏใน messenger คือ 23:35 น. (2+3+3+5 = 13) ว้าว! ต้องกล่าวว่า เธอมาพร้อมกับเลข 13 จริงๆนะครับท่าน ถึงได้กล่าวไว้ใน paragraph ก่อนหน้าว่า เป็นคนสำคัญคนหนึ่งสำหรับผม

ผมก็เลยเริ่มสำรวจเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับตัวผม พบว่าตัวเลข 13 เยอะไปหมดจนน่าตกใจ รู้สึกใจหวิวๆเลย

ตัวเลข 13 ทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่ทำให้ชีวิตเลวร้ายบ้างดีขึ้นบ้าง

ผมเกิด 26 พ.ค.(05)    26 ÷ 2 = 13 และ 2+6+0+5 = 13 ตรงกับขึ้น 6 ค่ำเดือน 7 (ตามที่เขียนไว้ในสูติบัตรแจ้งเกิด) 6+7 = 13 เวลาเกิด 04:45 น. (4+4+5 = 13)

เมื่อตรวจสอบกับปฏิทิน 100 ปี วันที่ 26 พ.ค. 2498 ตรงกับ วันพฤหัส ขึ้น 5 ค่ำ แต่ที่เขียนไว้ในสูติบัตรเป็นวันศุกร์ เหตุที่ข้อมูลแย้งกันคงเป็นเพราะ เกิดก่อนเช้า ทางจันทรคติถือว่ายังไม่ได้ขึ้นวันใหม่ แต่ทางสุริยคติหลังเที่ยงคืนถือเป็นวันใหม่ จึงเกิดความสับสนในการบันทึกการเกิด อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น วันพฤหัสที่ 26 หรือ ศุกร์ที่ 27 วันเดือนเวลาเกิดทำให้เกิดเลข 13 ได้ 2-4 จำนวน วันเกิดตัวเองแท้ๆ เพิ่งจะรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับ 13 เมื่อ 2-3 วันก่อนนี้เอง

พ.ศ. 2519 หรือ ค.ศ. 1976

(7+6 = 13) กลางปี 2518 ลาออกจากงานที่บริษัท สยามคราฟท์ จำกัด อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ชีวิตตอนทำงานที่สยามคราฟท์เละเทะมากทั้งกัญชาและเหล้าเกือบทุกวัน กลับไปอยู้บ้านที่สุพรรณ ปลายปี 2518 บวชเณร (กลางพรรษา) เพราะเกิดสำนึกดีชั่วขึ้นหลังจากเมาจนขาดสตินอนอยู่ข้างทางเข้าโรงหนัง และหลังออกพรรษาบวชเป็นพระ กลางปี 2519 (ก่อนเข้าพรรษา) สึกจากพระ ชีวิตเลวร้ายแบบสุดๆ ทั้งเหล้า กัญชา ฝิ่น ยาเม็ด ผงขาว ทำร้ายตัวเองโดยใช้มีดโกนกรีดแขนกว่า 10 แผล ต้องลาออกจากบริษัท ไทเรยอน จ.อ่างทอง คนทั่วไปเขาบวชกันก่อนเข้าพรรษาและสึกตอนออกพรรษา เฮ้ย นี่เอ็งมันผิดปกตินี่หว่า บวชตอนออกพรรษาแต่สึกก่อนเข้าพรรษา

พ.ศ. 2524

(2+5+2+4 = 13) ถูกขังโรงพักพญาไท 5 วันด้วยข้อหาเมาสุราอาละวาด และ ถูกคำสั่งศาลแรงงานให้ออกจากงานที่บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด ข้อหาดื่มสุราในขณะปฏิบัติหน้าที่

พ.ศ. 2528 หรือ ค.ศ. 1985

(8+5= 13) ได้เข้ารับราชการเป็นนายทหารเหล่าการเงิน ตำแหน่งประจำ กง.ทบ. (กรมการเงินทหารบก) เข้ารับราชการได้เพียงวันหรือสองวันเนี่ยก็ถูกส่งให้ไปเรียนที่โรงเรียนทหารการเงิน กง.ทบ. ที่ ยศ.ทบ. (กรมยุทธศึกษาทหารบก)

ได้รับการประดับดาวบนบ่าที่ ยศ.ทบ. นั่นแหละ ภาพที่นำมาให้ดู เป็นภาพถ่ายในวันซ้อมพิธีสาบานธงที่ ยศ.ทบ. ในวันกองทัพไทยปีนั้น (25 ม.ค.) ได้แต่งชุดใหญ่เข้าร่วมพิธีสาบานธงด้วยที่ ปตอ. เกียกกาย

หลังเรียนจบแล้ว ถูกส่งไปฝึกทำบัญชีย่อยที่ ร.11/1 รอ. (กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์)  ต่อมาฝึกทำบัญชีใหญ๋ที่ ยศ.ทบ. นายทหารที่ฝึกทำบัญชีใหญ่แล้ว จะถูกส่งไปอยู่สังกัดใหม่

เพื่อนผมที่เป็นนายสิบการเงินบอกว่า สังกัดใหม่ของผมเป็นกองพันเปิดใหม่ที่จังหวัดลพบุรี ที่ลพบุรีสมัยนั้นดงผงขาวเลย ก่อนผมจะจบ ป.ตรี ชีวิตก็วนเวียนอยู่กับเหล้าและยาเสพติดตลอด เคยไปรักษาตัวที่ถ้ำกระบอก สระบุรี มีทหารจากลพบุรีมารักษาตัวเยอะทีเดียว ส่วนใหญ่เสพผงขาว

ปีนี้ไม่รู้ว่าจะให้เป็นโชคดีหรือโชคร้าย เพราะอยู่ได้เพียง 5 เดือนก็ลาออกและต้องเสียค่าปรับ 30,000 บาทเพราะรับราชการไม่ครบ 2 ปี ผมเป็นนายทหารคนแรกของ กง.ทบ. ที่ลาออกแล้วเสียค่าปรับ และต่อๆมาก็เชื่อว่าไม่น่าจะมีคนอื่นอีก

ลาออกไปทำอะไรหรือ ลาออกไปนั่งสมาธิอยู่บ้าน/ที่วัดทุ่งสามัคคีธรรม (หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก) สุพรรณบุรี พ่อบ่นทุกวัน บ้าไปแล้ว เป็นนายทหารอยู่ดีๆลาออกมาอยู่บ้าน พ่อแกพูดถูก ผมมันช่างบ้าดีแท้ เพื่อนสนิทที่เป็นนายสิบที่ กง.ทบ. พูดกับผมว่า ไอ้ห่าเอ๊ยมีแต่เขายอมเสียเงินเพื่อเข้ารับราชการ แต่มึงยอมจ่ายเงินเพื่อให้กรมอนุมัติออกจากราชการ คนแถวบ้านส่วนใหญ่นินทากันว่า ทำผิดถูกไล่ออกเลยต้องเสียค่าปรับ เชื่อเถอะไม่ใช่เฉพาะคนแถวบ้านหรอกที่คิดแบบนี้ คนที่ไหนที่ไหนก็ต้องคิดแบบนี้ทั้งนั้นแหละ

พ.ศ. 2529

นับตั้งแต่ปี 2516 ซึ่งเป็นปีที่ผมเรียนจบ ม.ศ.5 (entrance เลือกวิศวจุฬาฯอันดับ 1) มาจนถึงปีนี้ก็ 13 ปี อายุ 31 ปี สมัครสอบป.โทบัญชีจุฬาฯ สาขาการต้นทุน เลขประจำตัวผู้เข้าสอบ 13 ในปีนี้ผมก็ทำให้พ่อแม่ต้อง surprise เพราะสอบติดป.โทบัญชีจุฬาฯ และในปีนี้ได้รับเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษที่โรงเรียนโยนออฟอาร์คพณิชยการ สอนนักเรียนบัญชีปี 3 ห้อง 11-14 นักเรียนที่ผมมีความผูกพันมากที่สุดคือห้อง 13  และที่รร.นี้ผมได้ทำในสิ่งที่ชอบและอยากทำมากคือขึ้นเวทีร้องเพลง hard rock ทั้งๆที่ร้องเฮงซวย (Concert ลืมตัวครั้งที่ 1) ปี 2530 ผมก็ได้ไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยรังสิต

พ.ศ. 2534

ผมเรียนจบป.โทที่จุฬาฯต้นปี 2534 (ปีการศึกษา 2533) 2+5+3+3 = 13 วันที่สำเร็จการศึกษาที่ระบุไว้ใน Transcript (ใบรับรองผลการศึกษา) June 7, 1991 (06+7 = 13) หลานที่อุ้มถ่ายรูปวันรับปริญญา เกิดพ.ศ. 2533 (2+5+3+3 = 13) ต่อมาหลานเรียนจบที่จุฬาฯ คณะศิลปกรรม สาขานฤมิตรศิลป์ กลายเป็นศิษย์เก่าจุฬาฯรุ่นน้อง เอ๊ยไม่ใช่ ต้องเรียกว่า ศิษย์เก่าจุฬาฯรุ่นหลาน ในปีนี้ผมได้ไปเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยโยนก จังหวัดลำปาง การใช้ชีวิตที่ลำปางเละเทะมาก ต่อมาปี 2536 ผมก็ย้ายกลับมาสอนที่มหาวิทยาลัยรังสิตเช่นเดิม

พ.ศ. 2542

(2+5+4+2 =13) เขียนหนังสือเล่มแรกวางจำหน่าย (การบัญชีเพื่อการจัดการ) ขณะนั้นเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ถ้าพูดเป็นภาษานักดนตรีก็ต้องบอกว่า Gooได้ออกอัลบั้มแล้วโว้ย (ผมชอบดนตรี Heavy Metal และชอบขึ้นเวทีร้องเพลงถ้ามีโอกาส ความสามารถในการร้องอยู่ในระดับเฮงซวย)

พ.ศ. 2547 ลาออกจากม.รังสิตไปปฏิบัติธรรม

ถึงปีนี้เท่ากับว่า หลังจากจบป.โทผมสอนหนังสือมาได้ 13 ปีแล้ว ปีนี้ผมอายุ 49 ปี  (4+9 = 13) มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมาก
(1)
ร่วมกับดร.ธีรเสฏฐ์จัดทำหลักสูตร การบริหารต้นทุนเชิงกลยุทธ์สำหรับ SMEs ซึ่งเป็นการศึกษาแบบ  E-Learning (ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ในปีนี้ยังไม่มี Youtube ส่วน Google เกิดขึ้นปี 2541) ในโครงการ Learn2gether ของบริษัทยูคอม
(2)
จัดทำสื่อการสอน บัญชีขั้นต้น และ บัญชีบริหาร เผยแพร่บนเว็บไซต์ ThailandAccount.com
(3)
ได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมดนตรีสากล ในปีนี้ วง Metal Icarus ของม.รังสิตได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 Bangkok Music Award 2004 จึงได้จัดงานแสดงความยินดีให้กับวง งานนี้ผมได้ขึ้นร้องเพลง Hard Rock ที่ม.รังสิตสมความตั้งใจ (Concert ลืมตัวครั้งที่ 2) และการได้ขึ้นร้องเพลงในครั้งนี้แหละเป็นเหตุผลหนึ่งทีทำให้ผมตัดสินใจลาออกจากม.รังสิต ทำไมหรือ 

เพื่อนสนิท (ขณะนั้นเป็นรองคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.รังสิต) ชอบแซวผมว่า เมื่อไหร่จะไปบวชตลอดชีวิตวะ มึงพูดว่า จะ… จะ… อยู่นั่นแหละ ก็เลยบอกว่า การเปลี่ยนวิถีชีวิตไปเป็นนักบวชมันต้องใช้เวลาโว๊ย ไม่ง่ายเหมือนเรื่องเปลี่ยนงาน บางครั้งก็บอกว่าถ้า Goo ได้มีโอกาสขึ้นเวทีร้อง Hard Rock ที่ม.รังสิตแล้ว Goo จะลาออก เคยคิดแบบนี้จริงๆแต่ไม่ได้ซีเรียสมาก

ตอนสอนโยนออฟอาร์คพณิชยการก็ได้ร้อง ต่อมาไปอยู่ม.รังสิตไม่มีโอกาสได้ร้อง พอไปอยู่วิทยาลัยโยนก ลำปาง ก็ได้ร้อง แล้วก็กลับมาที่ม.รังสิตอีกครั้ง

หลังจาก Concert ลืมตัว ก็ได้ใคร่ครวญดูว่า เรายังต้องการอะไรอีกหรือ ตำแหน่งทางวิชาการก็ได้แล้ว (ได้เป๊น ผศ. ปี 2545) หนังสือที่ร่วมเขียนกับเพื่อนก็ได้เผยแพร่ไปสู่ภายนอกแล้ว การได้รับเชิญเป็นวิทยากรก็ได้รับเชิญแล้วจาก สำนักตรวจบัญชีกลาโหม และ โรงพิมพ์ธนบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และปีนี้เกิดสิ่งดีๆมากมาย

และแม้แต่เรื่องที่เราคิดเล่นๆว่า อยากขึ้นเวทีร้องเพลงโชว์ที่ม.รังสิต ก็ได้โชว์แล้ว ถ้าเราลาออกปีนี้ (ปี 2547) เงินที่เก็บสะสมไว้เพื่อให้พ่อแม่ใช้จนกว่าจะเสียชีวิต (ประมาณ16 ปีนับจากปี 2547) ก็ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว

หลังจากนั้นก็ได้ไปที่ถ้ำเมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งไปเป็นประจำปีละ 3 ครั้งตั้งแต่ปี 2540 ได้บอกกับหลวงตาม้าว่า ผมจะลาออกจากงานเพื่อมาอยู่ถ้ำเมืองนะ
(4)
เดือนพฤศจิกายนปี 2547 ผมยื่นใบลาออก เขียนเหตุผลในการลาออกว่า ต้องการไปปฎิบัติธรรม แล้วจะบวชในโอกาสถัดไป และได้จัดมินิคอนเสิร์ตที่ม.รังสิตครั้งสุดท้ายชื่องาน “อำลา อำนาจ” ณ ลานพยอม ม.รังสิต ไม่ใช่อะไรหรอก จ้ดขึ้นเพื่อ Gooจะได้ขึ้นร้องเพลง Hard Rock เพื่ออำลาม.รังสิต งานนี้วง Metal Icarus (ปัจจุบันคือ Melodius Deite) เล่นเป็นวงหลัก และ เด็ก อดีตมือคีย์บอร์ดวง Blue Stars (ขณะนั้นเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์เพลงบริษัท อาร์เอสโปรโมชั่น จำกัด) ร่วมแจมกับวง Metal Icarus เอก มุติ มือกีตาร์ดาวเด่น อดีตมือกีตาร์วง Blue Stars ร่วมเสนอผลงานชุดใหม่และร่วมแจมกับวง Enzyme นักร้องนะหรือคือผมเอง นักร้องเฮงซวย เพื่อนสหธรรมมิกของผมที่เป็นอาจารย์ม.รังสิตด้วยกัน (เปี๊ยก หรือ Sam Antony) นั่งอยู่ในงานตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งเลิก

นิรวาณเอ๋ย เจ้าจำได้ไหม หมอดูชื่อดังที่ลำปางเคยทำนายชะตาของเจ้า (ตอนเจ้าสอนหนังสือที่นั่น) ทั้งๆที่เจ้าไม่ได้ขอให้ทำนาย อาจารย์ต้องใช้ชีวิตอยู่ทางภาคเหนือ ไม่อาจจะหนีไปอยู่ที่อื่นได้ เจ้าบอกกับเพื่อนและลูกศิษย์ที่สนิทว่า หมอดูหรือจะสู้ตัวเราที่จะลิขิตชีวิตตัวเอง แล้วก็แสดงให้เห็นด้วยการลาออกจากวิทยาลัยโยนก ลำปาง กลับไปอยู่ ม.รังสิต 555 หมอดูแพ้เราแล้ว ที่ไหนได้ ในที่สุดในปีนี้เจ้าก็กลายเป็นฝ่ายแพ้ อายุยังไม่ถึง 50 เลย มาเริ่มปักหลักที่ภาคเหนือ อยู่ถ้ำเมืองนะ ป่าเชียงดาว และ เชียงราย  นิรวาณ เจ้าจงจำใส่หัวไว้ พรหมลิขิต บางเรื่องเจ้ามิอาจฝืนได้ 666

พ.ศ. 2549

(4+9 = 13) พ่อเสียชีวิต เขียนหนังสือเล่มสุดท้ายร่วมกับเพื่อน (การบัญชีขั้นต้น ฉบับอ่านเข้าใจง่าย) ปีนี้เป็นปีที่ตั้งใจจะบวช แต่ไม่ได้บวช โดยเขียนส่งท้ายใน วิดีโอประวัติชีวิต ไว้ว่า
ตอนลาออกจากงาน (ปลายปี 47) ตั้งใจจะปฏิบัติธรรม 2 ปี แล้วจึงบวชเป็นพระ และจะครองผ้ากาสาวพัสตร์ไปตลอดชีวิต ผ่านมาแล้ว 5 ปียังไม่ได้บวชตามที่ตั้งใจไว้ อนิจจัง !!! ไม่มีอะไรแน่นอน มันไม่เที่ยง และ End Credits ไว้ดังนี้ Amzy R. Nirvana   ชาตะ : วันพฤหัสบดี ปีมะแม พุทธศตวรรษที่แล้ว    มรณะ : ภายในพุทธศตวรรษนี้    นิรวาณ : ไม่รู้ชาติใหน แล้วตั้งความหวังใหม่ว่า เลือนเป็นอายุ 58 ปี (ปี พ.ศ. 2556) เพื่อจะให้มันลงตัวที่ 13 ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ ไปๆมาๆยกเลิกไปอีก หลังจากนั้นก็ไม่นึกถึงเรื่องการบวช แต่หันมานึกถึงเรื่องการตายแทน ชาตินี้เดินทางไม่ถึงนิรวาณแน่ เดินทางต่อในชาติหน้าดีกว่า

พ.ศ. 2551

(2+5+5+1=13) ได้อ่านกลอนให้นายกทักษิณฟังทางโทรศัพท์ ได้พบกับท่านเป็นครั้งแรกอย่างใกล้ชิด และได้ขึ้นเวทีปราศัยทางการเมืองเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เชียงราย มีอยู่ครั้งหนึ่ง คนที่เคยมาดูเวทีปราศัยต้องการจะมอบเงินให้กับเวทีปราศัยเพื่อใช้ในการต่อต้านการกระทำของกลุ่มพันธมิตร แต่ขอให้คนชุดขาวมาเป็นคนรับมอบเงิน ดูขัดแย้งจังนะพี่ !?!? นักปฏิบัติธรรม ชอบฟังดนตรี Heavy ขึ้นเวทีปราศัยทางการเมือง 555 เพื่อนๆที่เป็นสลิ่มเมื่อรู้เรื่องนี้ถามผมว่าทักษิณจ่ายให้เดือนละเท่าไร ก็เลยเออออไปเลยว่าเดือนละ 10 ล้าน (ทำด้วยใจรักประชาธิปไตย ช่วยกันออกเงิน แต่ละคนหมดไปเยอะ หลายคนโดนคดีอีกด้วย)

พ.ศ. 2560

(2+5+6+0 = 13) เพื่อนรุ่นน้องรับงานออกแบบวิธีคิดต้นทุนผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์กตามระบบต้นทุนฐานกิจกรรมจากองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย แล้วโทรมาหาผมบอกว่า มอบให้พี่เป็นคนออกแบบและสอนวิธีคิดให้แก่นักบัญชีขององค์การ เลยบอกกับรุ่นน้องว่า เอาอาจารย์ที่เป็นเพื่อนพวกเราอีกคนดีกว่า

เพราะตัวผมไม่มีสภาพนักบัญชีหลงเหลืออยู่เลย ผมและหนวดเครายาวรุงรัง เป็นนักบัญชีแหกคอก รุ่นน้องบอกว่ารับเถอะน่าพี่ ในพวกเรา 4 คน พี่คนเดียวจบป.โททางด้านต้นทุนโดยตรงและเชี่ยวชาญการใช้โปรแกรม excel ไอ้เรื่องหนวดเคราไม่เป็นไรหรอก เพราะได้คุยกับหัวหน้าฝ่ายบัญชีแล้วว่า

คนที่จะมาออกแบบระบบให้ เชิญออกมาจากถ้ำเลย การได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้ถือเป็นเกียรติและภาคภูมิใจมาก นึกถึงตอนปี 2550 ร่วมเป็นวิทยากรในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 35 หัวข้อ ” ติดปีกตำราไทยด้วยสื่อ Digital Content ” จัดโดยศูนย์หนังสือจุฬาฯ ครั้งนั้นแต่งชุดขาวขนาดยังไม่ได้ไว้ผมและหนวดเครายังรู้สึกเขินๆพอสมควร มาคราวนี้เปลี่ยนเป็นชุดสีเทาไว้ผมยาวหนวดเครารุงรัง คิดในใจเอาอีกแล้วกูทำตัวไงดีวะ

พ.ศ. 2564 วันที่ 4 ก.ย.(เดือน 09)

สั่งเสียเรื่่องจะตาย แจ้ง username, password และ pin ที่ใช้ในการขายหุ้น โอนเงิน เปิดมือุุถือ ให้หลานฝ่านทาง messenger เมื่อวันที่ 4 ก.ย.     4+09 = 13 

เรื่องการตายได้เคยบอกกับอาจารย์จง วัดป่าหัวยบง เชียงรายไว้ว่า ถ้าตายก็ให้เผาที่วัดเลย และได้คุยให้แม่ได้รู้เรื่องนี้เช่นกัน และบอกว่าไม่ต้องขึ้นไปงานเผาศพ ตอนนั้นน่าจะปี 2558 ตอนคุยกับแม่ แม่บอกว่าทำใจไม่ได้ถ้าลูกตายก่อน

ผมเคยหมดสติ 2 ครั้ง ครั้งแรกระหว่างดึงประตูรั้วบ้านเพื่อเปิด หงายหลังล้มทั้งยืน ก่อนล้มรู้ว่ากำลังจะล้ม แต่ตอนที่ล้มไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวตอนที่คนเข้ามาดึงตัวขึ้น แปลกที่ไม่มีอาการปวด บวม เคล็ดขัดยอก หรือ บาดเจ็บแม้แต่เล็กน้อย ครั้งที่สอง ไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกตัวอีกทีขณะนอนอยู่บนพื้นห้องน้ำ ครั้งนี้ก็แปลกเช่นกัน ไม่มีอาการปวดบวมหรือบาดเจ็บแม้แต่เล็กน้อย

และอีกครั้งคล้ายเหมือนตาย ผมกำลังเดินอยู่บนถนนพญาไทรู้สึกมีอาการหน้ามืดจะเป็นลม (ปกติผมเป็นบ่อยต้องหยุดเดินแล้วพยายามหาที่เกาะยึด สักพักอาการจะหายไปเองแล้วจึงเดินต่อ) แล้วความรับรู้ต่างๆหายไปหมดสิ้น เหมือนว่ามีตัวเราอยู่เพียงคนเดียว ไม่มีตัวตน แล้วมีความคิดผุดขึ้นมาว่า เดี๋ยวคนก็มาเจอศพเราเอง แล้วมารู้สึกตัวอีกทีขณะกำลังเดินและได้ยินเสียงรถวิ่งเห็นภาพรถผู้คนสิ่งก่อสร้างตามปกติ เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการหมดสติสองครั้งนั้น

กลางเดือนตุลาคมหมอให้ติดเครื่อง holter (เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ) ตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ไปรักษาโรคตา อัตราการเต้นของหัวใจวัดครั้งแรก 130 ครั้งต่อนาที วัดใหม่อีก 2 ครั้งก็ใกล้ 130 ครั้ง อัตราการเต้นของหัวใจระดับนี้จะไม่เกิดขึ้นในขณะนั่งวัด แต่จะเกิดขึ้นขณะกำลังวิ่ง และพยาบาลได้เปลี่ยนเครื่องวัดใหม่อัตราการเต้นจึงเข้าสู่ระดับปกติ (60-100 ครั้งต่อนาที)

ต่อมาปลายเดือนตุลาคมหมอโรคหัวใจแนะนำว่า ต้องฝังเครื่องกระตุกหัวใจไว้ใต้ผิวหนังเพื่อป้องกันไม่ให้เสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายฉับพลัน เราจะตัดสินใจติดหรือไม่ติดก็ได้ แต่หมอก็พยายามพูดโน้มน้าวให้ติด ก็นั่นแหละหนาอาชีพหมอไม่อยากให้คนใข้ตายอยู่แล้ว ใจผมไม่อยากติดเพราะไม่กลัวตาย แล้วก็เคยรู้สึกคล้ายกับตายมาครั้งหนึ่งโดยที่จิตไม่มีอาการตกใจกลัวแต่อย่างใด ผมรู้สึกเกรงใจหมอ ไม่กล้าบอกปฏิเสธ ก็เลยตอบตกลง กลับไปถึงบ้านก็ยังรู้สึกเสียใจที่ไม่กล้าปฏิเสธหมอ

2 พ.ย. 2564 (นี่ถ้าเอาเลขวันที่บวกกับเลขเดือน 2+11 = 13) ผ่าตัดเล็กเพื่อฝังเครื่องกระตุกหัวใจที่โรงพยาบาลตำรวจ จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังเสียใจที่ไม่กล้าปฏิเสธติดเครื่องกับหมอ ถ้าไม่ติดผมคงได้เปลี่ยนร่างใหม่ไปแล้ว ตายด้วยอาการหัวใจวายฉับพลันน่าจะสบายที่สุดเมื่อเทียบกับการตายด้วยอาการอื่นๆ เครื่องกระตุกหัวใจมีอายุไม่เกิน 7 ปี ก็คือต้องเปลี่ยนเครื่องเมื่อแบตเตอรี่หมด ไปตรวจครั้งล่าสุดพูดกับหมอว่า ถ้าแบตหมดผมจะผ่าเอาเคริ่องออกโดยไม่ใส่เครื่องใหม่ หมอแกพูดแบบขึ้นเสียงเลย ยังไงคุณต้องใส่เครื่อง อาชีพหมอก็แบบนี้ทุกคนครับ ไม่อยากให้คนใข้ตาย

พ.ศ. 2567

(6+7 = 13) ขอทำมรณบัตรเพื่อเปลี่ยนร่างใหม่ ร่างเก่าทรุดโทรมเต็มที่แล้ว ทำให้ยากต่อการปฏิบัติธรรม ใครมีหน้าที่อนุมัติช่วยลงลายมือชื่อด้วยครับ จะได้ไปปฏิบัติธรรมต่อในชาติหน้า เร่งเดินทางให้ไปถึงนิรวาณ साधु साधु साधु 

เลข 13 ส่งผลดีหรือผลร้ายกันแน่กับชีวิตผม ???

ปี 2524 ทั้งถูกขังโรงพักและถูกให้ออกจากงาน อาจมองได้ว่ามันคือ ชะตาลิขิต ให้ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ไม่เช่นนั้นชิวิตที่เหลือคงจมปลักอยู่กับความสำมะเลเทเมาไปจนตาย

ส่วนในปี 2528 ลาออกจากนายทหารและเสียค่าปรับ 30,000 บาท ก็อาจมองได้เช่นกันว่าส่งผลดีต่อชีวิต เพราะผมเคยฝันว่า เมาเหล้าขาดสติแต่งชุดทหารติดยศร้อยเอก นอนถือขวดเหล้าอยู่ข้างทางรถไฟ ที่อยู่ระหว่าง สถานีรถไฟสามเสน กับ ยศ.ทบ.ที่ผมไปเรียนและฝึกทำบัญชีใหญ่  ซึ่งอยู่เหนือสถานีขึ้นไปนิดเดียว (จำไม่ได้ว่าฝันก่อนหรือหลังจากออกจากนายทหาร เป็นฝันที่ชัดเจนมาก) ตอนเรียนและฝึกทำบัญชีใหญ่ ผมพักอยู่แถวสวนจิตรลดา เดินไป ยศ.ทบ. ทุกวันไม่ไกลมากนัก หลังลาออกจากนายทหารการเงิน  ต่อมาได้ก็ได้เป็นนิสิตป.โทบัญชีจุฬาฯ เป็นการเติมความฝันในวัยเด็กตอนเรียนม.ศ. 2 ที่อยากเป็นนิสิตวิศวจุฬาฯ แม้ว่าจะต่างจากความฝันบ้าง แต่ก็ถือว่าทดแทนได้อย่างสมบูรณ์


สารบัญบล็อก


สารบัญบล็อก

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ข้อมูลจาก Forbes Thailand เชื่อถือได้ทุกเรื่องหรือไม่?

จาก twitter >> Peter @kmamoro กำลังตอบกลับถึง @TonsTweetings “อ่านแล้วตบเข่าฉาด ไม่ว่าจะเล่นpantip สมาคมรักเครื่องบิน กี่ปีๆ มันจะมีพวกนึงชอบเอาลิงค์ของนิตยสารฟอร์บไทย มาแปะแล้วโทษว่าเพราะแม้วทุกทีที่มีเรื่องขาดทุนของการบินไทย ทั้งที่แม้วหายไป10ปีแล้วยังแก้ปัญหาไม่ได้ มันเพราะภายในองค์กรห่วยเอง ลิงค์ที่ว่า” airbus A340-500 หายนะหลายหมื่นล้าน พวกนึงน่าจะหมายถึงสลิ่ม

ผมได้เข้าไปอ่านพบข้อผิดพลาดมากมาย ไม่รู้ว่าผูเขียนบทความบิดเบือนข้อมูลหรือไม่มีความรู้ทางบัญชี และได้ ได้ ตอบกลับใน twitter Peter @kmamoro 6 โพสท์

และนี้คือ 1 ในข้อผิดพลาดหรือบิดเบือนหลายแห่งของบทความ A340-500 หายนะหลายหมื่นล้าน ในเว็บ Forbes Thailand

“...ช่วงที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี มีสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เลขาธิการพรรคไทยรักไทย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทนง พิทยะ เป็นประธานบอร์ดการบินไทย และกนก อภิรดี เป็น DD มีการจัดซื้อเครื่องบินตั้งแต่ปี 2545-2547 จำนวน 39 ลำ มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท...”

ตลกสิ้นดี เพราะว่าถ้ามีการซื้้อเครื่องบิน กว่า 2 แสนล้านบาทจริง ยอดที่ดินอาคารและอุปกรณ์สุทธิในงบการเงินต้องมากกว่า 2 แสนล้าน แต่งบการเงินสิ้นปี 47 ที่ดินอาคารและอุปกรณ์สุทธิมียอดเพียง 1.34 แสนล้านบาท

และที่ตลกยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
สิ้นปี 47 ยอดรวมสินทรัพย์ทั้งหมดมียอดเพียง 1.93 แสนล้านบาท มันไปได้อย่างไรยอดรวมสินทรัพย์ทั้งหมดจะน้อยกว่ายอดซื้อเครื่องบิน

เพราะยอดซื้อเครื่องบินจะแสดงรายการอยู่ในส่วนของที่ดินอาคารและอุปกรณ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนก็เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ทั้งหมด
งบการเงินการบินไทยปี 2547
ราคาเครื่องบินมากกว่าความเป็นจริงประมาณ 50%
@forbesthailand@ “...พร้อมเสนอขายเครื่องบิน A340-500 ทั้ง 4 ลำ (ราคาซื้อเฉลี่ยลำละ 153.57 ล้านเหรียญ)...” อัตราแลกเปลี่ยนในปี 2548 ประมาณ 41 บาทต่อเหรียญ ดังนั้นราคาเฉลี่ยจะเท่ากับ 6,296 ล้านบาท
@รายงานประจำปี 2548 ของการบินไทย@ : เครื่องบิน A340-500 จำนวน 2 ลำราคา 165.04 ล้านยูโรหรือประมาณ 8,460 ล้านบาท (ดังนั้นราคาเฉลี่ยลำละ 4,230 ล้านบาท)

หมายเหตุประกอบงบการเงินการบินไทยปี 2548

วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2561

วัดป่าห้วยบง เชียงราย

สารบัญบล็อก

ถนนขึ้นยอดดอย วัดป่าห้วยบง เชียงรายโบสถ์ วัดป่าห้วยบง เชียงรายพระอาจารย์บรรจง วัดป่าห้วยบง เชียงราย

สถานที่ตั้ง
เลขที่ 452 หมู่ 8 บ้านห้วยบง ต.ท่าสาย อ.เมือง จ.เชียงราย
แผนที่

ประวัติความเป็นมา

2539 - 2549
เดิมวัดป่าห้วยบงเป็นรีสอร์ทที่ยังสร้างไม่สำเร็จ ต่อมาผู้สร้างรีสอร์ทมีปัญหาทางการเงินจึงได้ยกให้กับนายไฮเซ็ง แซ่ชี เพื่อเป็นการชำระหนี้เมื่อปี 2539 และนายไฮเซ็งได้ยกให้พระธีรศักดิ์เพื่อสร้างเป็นสำนักสงฆ์ชื่อ อาศรมกิตติคุณ สังกัดมหานิกาย โดยมีพระธีรศักดิ์จำพรรษารูปเดียวมาตลอด

2549 - 2552
ต่อมาปลายปี 2549 พระอาจารย์บรรจง ปันแก้ว เดินทางจาก หลุบเหลา ถ้ำเมืองนะ (เชียงใหม่) มาที่บ้านห้วยบงซึ่งเป็นบ้านเกิด ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันพระธีรศักดิ์ได้ลาศิกขาพอดี หนานเพชร (พระธีรศักดิ์) ได้นิมนต์ให้พระอาจารย์บรรจงอยู่จำพรรษาอยู่ที่อาศรมกิตติคุณ พระอาจารย์จงได้จำพรรษาอยู่จนกระทั่งถึงกลางปี 2552 จึงได้ย้ายไปปฏิบัติธรรมที่ จันทบุรี ภูเก็ต และ เชียงใหม่ โดยให้พระประมวลเป็นผู้ดูแลอาศรมแทน

2552 - 2558
พระประมวลได้ชักชวนผู้มีศรัทธาซื้อที่ดินเพิ่มให้วัดและก่อสร้างโบสถ์ ปี 2554 เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักสงฆ์ห้วยบง ย้ายสังกัดไปธรรมยุตินิกาย

2558 – ปัจจุบัน
พระอาจารย์กัณหาซึ่งเป็นอุปัชฌาย์ของพระอาจารย์จง เห็นว่าพระอาจารย์น่าจะกลับมาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์ห้วยบง คุณเจริญพี่ชายของพระอาจารย์จงจึงได้เดินทางไปพบพระอาจารย์จงเพื่อนิมนต์มาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์ห้วยบง ขณะนั้นพระอาจารย์จงปฏิบัติธรรมอยู่ที่ ที่พักสงฆ์ขุนก๊ะ (ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์ป่าเชียงดาว จ.เชียงใหม่) ปี 2560 สำนักสงฆ์ห้วยบงได้รับการเปลี่ยนสถานะเป็นวัด



สารบัญบล็อก

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ทักษิณแปรรูปรัฐวิสาหกิจ “ ขายชาติ ชาติจะหายนะ ” จริงหรือ ???

สารบัญบล็อก

เรื่องนี้ผมเคยเขียนลงบน webboard ของ IF และ Prachatalk ในช่วงคุณยิ่งลักษณ์หาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 54

การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ถูกกล่าวหาว่าขายทรัพย์สมบัติของชาติ และอีกหลายๆวาทะกรรมที่ช่วยกันประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อทำลายนายกทักษิณ

รัฐวิสาหกิจก็คือ ธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของ ต่อมาต้องการให้เอกชนมาร่วมลงทุนด้วย ดังนั้นต้องไปจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัท ทุนจดทะเบียนเป็นเท่าใด เช่น 1,000 ล้านหุ้น ราคาตามมูลค่าหุ้นละ 10 บาท แล้วนำหุ้นออกขายให้เอกชน จำนวนหุ้นที่นำออกขายให้เอกชนต้องน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นทั้งหมด

เช่น ของปตท. กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น 52% ของหุ้นทั้งหมด ส่วนอีก 48% นำออกขายให้เอกชน รัฐจะต้องถือหุ้นไว้ให้เกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นทั้งหมด เพื่อให้สามารถกำหนดนโยบายการจัดการของบริษัทได้นั่นเอง เพราะว่าการโหวตในเรื่องต่างๆ เช่น เลือกกรรมการบริษัท เขานับจำนวนโหวตที่จำนวนหุ้น ไม่ได้นับตามจำนวนมือของผู้ถือหุ้นที่ยก ดังนั้น การโหวตเรื่องต่างๆรัฐบาลจะชนะทุกครั้ง

Eแตงโม มรึงถือหุ้นอยู่ 9 หุ้น เท่ากับ 9 คะแนน ไอ้แดงมันถือหุ้น 10,000 หุ้น เท่ากับ 10,000 คะแนน Eแตงโม Eนกเหี่ยว เหล่าดาราและสลิ่มสมองกลวงทั้งหลาย จำใส่กะโหลกอันแสนหนาของพวกมรึงไว้เลยว่า เขาไม่ได้นับตามจำนวนมือที่ยกโว๊ย เขานับตามจำนวนหุ้น

พูดถึงเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ทำให้นึกถึง การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต นายกทักษิณถูกกล่าวหาว่า ขายชาติ จะทำให้ชาติล่มสะลาย ตัวละครที่ขย่มเรื่องนี้อย่างนัก โดยนำเอาเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในประเทศอาร์เจนตินา มาขย่มนายกทักษิณ จนนายกทักษิณเซไปเซมา ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือ นิติภูมิ นวรัตน์ (ปัจจุบันเป็น สส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย)

แล้วศาลปกครองตัดสินว่าเป็นการแปรรูปที่ผิด ในตอนนั้นผมนึกเลยว่า ลางหายนะมาสู่นายกทักษิณแน่นอน ผมว่าตรงนี้แหละถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความพ่ายแพ้ของนายกทักษิณ บอกตรงๆเลย ผมรับไม่ได้กับตัวละครตัวนี้ เกลียดแม่งฉิบเลย

ตอนช่วงหาเสียงเลือกตั้งในปี 54 เพื่อนผม “ChiangraiPlus” ทำเว็บ Chiangrai TV ยั๊วจัด ถึงกับขึ้นตัวหนังสือหน้าเว็บว่า “ขอแสดงความยินดีกับพรรคเพื่อไทยที่รับไอ้หน้าเอี้ย นิติภูมิ เข้าเป็นส.ส. ขอให้นายกทักษิณและพรรคเพื่อไทยจงโชคดี ดังนั้น ขอปิดเว็บเป็นเวลาหนึ่งปี”

นายกทักษิณท่านมีจิตใจเมตตาจริงๆ ให้อภัยแม้กระทั่งคนที่เคยทำร้ายท่าน จนท่านล้ม ตัวผมเป็นนักปฏิบัติธรรมแท้ๆ ยังไม่สามารถจะให้อภัยแบบท่านนายกทักษิณได้เลย ทั้งๆที่ เรื่องที่ไอ้เวรตัวนี้มันทำ ไม่ได้เกี่ยวกับผมโดยตรงแม้แต่น้อย

กลับมาเข้าประเด็นครับ ทักษิณเป็นนายกสมัยแรกต้นปี 2544 มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทจำกัดดังนี้ ปตท. (PTT) ปลายปี 44 , ทศท. (TOT) กลางปี 45 , กสท. (CAT) กลางปี 46 เป็นการแปรรูปภายใต้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสากิจ พ.ศ. 2542 (สมัยชวนเชื่องช้า)

การแปรรูป ปตท. เป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

เริ่มเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2544 จำนวนหุ้นที่จดทะเบียน 2,000 ล้านหุ้น ราคาตามมูลค่า (Par Value) หุ้นละ 10 บาท รวมเป็นทุนที่จดทะเบียน 20,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด มูลค่าหุ้นตามบัญชี 16.82 บาทต่อหุ้น ( ส่วนของผู้ถือหุ้น 33,630 ล้านบาท / 2,000 ล้านหุ้น )

ต่อมาในวันที่ 2 ตุลาคม 2544 ปตท.ได้จดทะเบียนเพิ่มทุนอีก 850 ล้านหุ้น โดยนำออกจำหน่าย 797.2 ล้านหุ้น ได้รับเงินจำนวน 25,965.3 ล้านบาท (จำหน่ายให้พนักงานและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานปตท.และบริษัทร่วมทุนจำนวน 47.2 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 10 บาท และจำหน่ายให้รายอื่นๆทั้งในและต่างประเทศจำนวน 750 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 35 บาท)

ปี 2549 ปตท.นำหุ้นออกจำหน่ายอีก 7.7 ล้านหุ้นได้รับเงินจำนวน 1,405.4 ล้านบาท

เงินที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นถูกนำไปใช้ในการขยายกิจการของปตท. เป็นการลดภาระทางการเงินแก่รัฐ เมื่อแปรรูปแล้ว ปตท.ส่งเงินเข้าคลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ปี 2544 (ก่อนการแปรรูป) ปตท. ส่งเงินเข้าคลังประมาณ 5 พันล้านบาท

จากตัวเลขในตารางจะเห็นได้ว่า แม้ว่ากระทรวงการคลังจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงก็ตาม แต่ผลประโยชน์ที่คลังได้รับจาก ปตท.ก็เพิ่มขึ้นทุกปี ตัวเลขผลประโยชน์ที่คลังได้รับเป็นคำตอบได้อย่างดีว่า การแปรรูปรัฐวิสาหกิจจะทำให้ประเทศหายนะ จริงหรือไม่

ไอ้อีพวกที่ประณามทักษิณว่าขายชาติ มาแหกตาดูหน่อย ความโง่ดักดานของพวกมรึงจะได้หายไปเสียที

สิ้นปี 2544 จำนวนหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ลดลง 62.2 ล้านหุ้น และปี 2547 ลดลง (จากปี 2546) จำนวน 470 ล้านหุ้น (ทักษิณขโมยไปซุกมั๊ง) ถ้าเป็นการขายหุ้นในปี 2547 เงินจะกลับเข้าคลังอย่างน้อยที่สุด ไม่ต่ำกว่า 6.4 หมื่นล้านบาท (ราคาหุ้นในปี 2547 ต่ำสุด-สูงสุด 136-192 บาท)

คลิก > จำนวนหุ้นที่กระทรวงการคลังถือ และ จำนวนหุ้นในมือผู้ถือหุ้นทั้งหมด (Outstanding Shares) ในปี 2545 - 2549
คลิก > ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปัจจุบัน


ปตท. มีสินทรัพย์ (ทรัพย์สิน) มากที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมีมูลค่าตลาดเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 5.17 แสนล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2546 (ราคาหุ้นละ 185 บาท)



ก่อนรัฐประหารปี 2549 ผมไปหาเพื่อนที่บรรหารบุรี เมียเพื่อนด่าอัศวินดาวเทียมให้ผมฟัง “ทักษิณมันเลว ขายชาติ เอาหุ้นของปตท. ไปขายให้ต่างชาติ ไปขายให้พวกพ้อง พรรคพวกมันและต่างชาติกลายเป็นเจ้าของปตท.ไปแล้ว อีกหน่อยประเทศเราก็จะเป็นแบบอาร์เจนตินา ……..”

ผมก็ย้อนถามว่า “แล้วใครบอกเธอ”เมียเพื่อนผมก็บอกว่า “ดูข่าวจาก ASTV และ อ่านจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน”
ผมก็เลยพูดไปว่า “เธอไปเชื่อไอ้ลิ้มเต็กซ์ได้ยังไง ส่วนใหญ่แม่งโกหกทั้งนั้น บางเรื่องพูดความจริงส่วนหนึ่ง แล้วต่อเติมด้วยเรื่องโกหก จะบอกให้นะ รัฐวิสาหกิจที่แปรรูปกระทรวงการคลังจะต้องถือหุ้นไว้ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง”

พอผมด่าไอ้ลิ้มเต็กซ์เท่านั้นแหละ ทีนี้มาเป็นชุดเลย “เธอไม่รู้จริง เธออย่างโน้น เธออย่างนี้ ………….”
ผมก็เลยบอกว่า “เฮ้ย เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า” ปัจจุบันทราบว่าเมียเพื่อนผมกลายเป็นคนเสื้อแดงไปแล้ว

ผมนึกเสียดาย กฟผ. ถ้าแปรรูปได้สำเร็จประเทศเราจะได้ประโยชน์มากเลย ตัวละครอีกตัวหนึ่งนอกจากไอ้เอี้ยนี่ฮิภูมิ ที่ออกมาตีอัศวินดาวเทียมเรื่องแปรรูป กฟผ. แม่งเป็นนางอิจฉาหน้าตาเหมือนเต้าหู้ อีนังรสสัตว์นา ต้องเอาสากตำข้าวสมัยโบราณตำปากแม่งสักที

มีบางคนบอกผมว่า คนที่ทำงาน กฟผ. ทุกคนจะได้รับสวัสดิการเรื่องค่าไฟฟ้า เป็นการกำหนดอัตราที่ตายตัว เช่น 1,000 บาทต่อเดือน บางตำแหน่งได้รับเงินค่าไฟฟ้าเดือนละเป็นหมื่นก็มี ต้นทุนเพิ่มขึ้นแม่งก็ผลักภาระมาให้พวกเรา เพิ่มสวัดิการพนักงานก็ผลักภาระมาให้พวกเราไม่ยอมเสียผลประโยชน์เลย เสพสุขกันจนพุงปลิ้นกันตามๆไป คนที่ไม่ใช่ลูกหลานพนักงาน อย่าหวังว่าจะได้เข้าไปทำงานที่แห่งนี้เลย องค์กรแห่งนี้มันเป็นของพวกกรูเท่านั้น พวกมรึงอย่าสะเออะ

การแปรรูป ทศท. (TOT) และ กสท. (CAT)

TOT จดทะเบียน 600 ล้านหุ้น ราคาตามมูลค่า (Par Value) หุ้นละ 10 บาท CAT จดทะเบียน 1,000 ล้านหุ้น ราคาตามมูลค่า (Par Value) หุ้นละ 10 บาท เมื่อสิ้นปี 51 กระทรวงการคลังยังถือหุ้น 100% ก็คือ ยังไม่ได้มีการแปรรูปอย่างแท้จริง (ยังไม่มีเอกชนเข้าร่วมลงทุนนั่นเอง)

รายได้ของทั้ง TOT และ CAT แยกออกเป็น 2 ชนิด ชนิดแรกเป็นรายได้จากค่าสัมปทานโทรศัพท์มือ AIS, DTAC, True Move, DPC (จะเรียกว่าค่าต๋งก็ได้) ชนิดที่สองเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานด้วยตัวเอง (เกิดจากลำแข้งตัวเอง) ดังนั้น ทั้ง TOT และ CAT น่าจะนำเงินส่งคลังในแต่ละปีมากกว่าค่าสัมปทานที่ได้รับจากบริษัทมือถือ



ปี 2546 – 2551
ทั้งสองกิจการได้รับค่าสัมปทานรวม 122.6 พันล้านบาท (76.7 + 45.9) แต่ส่งเงินเข้าคลังเพียง 94.6 พันล้านบาท (57.7 + 36.9) ความจริงควรจะต้องส่งเงินเข้าคลังมากกว่า 122.6 พันล้านบาทเสียด้วยซ้ำ เพราะมีรายได้ประเภทอื่นด้วย ทั้งสองกิจการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ยังมิได้แปรรูปเป็นบริษัทอย่างแท้จริงเพราะคลังยังถือหุ้นเต็ม 100% แต่ ปตท.ที่ได้มีการแปรรูปอย่างแท้จริง ปี 2545 – 2549 ส่งเงินเข้าคลังสูงถึง 135.7 พันล้านบาท ท่านคงจะเห็นแล้วว่า การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทำให้ชาติได้ประโยชน์หรือหายนะกันแน่???

เรื่องที่น่าแปลก ก็คือ ช่วงปี 2550 – 2551 TOT และ CAT ได้รับค่าสัมปทานเต็มจำนวน แต่เงินที่จ่ายให้คลังน้อยกว่าค่าสัมปทานที่ได้รับ แต่ถ้าดูที่ช่วงปี 2546 – 2549 ได้รับค่าสัมปทานน้อยกว่า (โทรศัพท์แบบเติมเงิน 10% แบบรายเดือน 15%) แต่เงินที่จ่ายให้คลังบางปีมากกว่าค่าสัมปทานที่ได้รับ บางปีจ่ายให้น้อยกว่า (10% ของค่าสัมปทานที่หายไป บริษัทมือถือนำไปจ่ายเป็นภาษีสรรพสามิตให้แก่คลัง ซึ่งยุทธ์เขายายเที่ยงยกเลิกเมื่อปี 2550)

ค่าสัมปทานที่ได้รับจากบริษัทมือถือก็คือเงินที่พวกเราจ่ายให้บริษัทมือถือ น่าจะส่งเข้าคลังทั้งหมด แล้วนำไปซื้อ Notebook แจกนักเรียนที่ประถมหนึ่งทุกคนทุกปี แต่ละปีมีเด็กเข้าเรียนประถม 1 ประมาณปีละ 1 ล้านคน ซื้อจำนวนมากๆเช่นนี้ไม่น่าจะเกินเครื่องละ 6,000 บาท ปีหนึ่งก็ 6,000 ล้านบาทซึ่งน้อยกว่าค่าสัมปทานที่ได้รับเสียอีก ถือเป็นการลงทุนที่ล้ำค่าจริงๆ

ผลการดำเนินงานของ TOT และ CAT มีแต่ทรุด


แปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องหนึ่งที่รวมอยู่ในไฟล์ "โต้ข้อกล่าวหาทักษิณอย่างย่อ" (pdf 8 หน้า) >> ดาวน์โหลด  ไฟล์โต้ข้อกล่าวหาทักษิณฯ ได้มีการอัพโหลดใหม่เมื่อ 7 ก.ย. 58 เนื่องจากไฟล์เดิมมีข้อผิดพลาด กล่าวคือ ใต้ตาราง (หน้า 5) จำนวนเงิน : ล้านบาท ที่ถูกต้องคือ จำนวนเงิน : พันล้านบาท

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ทักษิณโกงจริงหรือ ???
ทักษิณขายหุ้น VS ลุงที่เชียงรายขายทองคำ

สารบัญบล็อก 

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Amzy R. Nirvana

สารบัญบล็อก

พรหมลิขิตชีวิต Goo





Goo กับ การเมือง




สารบัญบล็อก

แก้ไขที่พิมพ์ผิดหนังสือบัญชีขั้นต้น สำหรับการพิมพ์ครั้งที่ 4

สารบัญบล็อก

แบบฝึกหัดสำหรับภาคผนวก พิมพ์ครั้งที่ 4 แยกพิมพ์เป็น 3 ครั้ง พิมพ์ครั้งแรก (4/1) มีที่ผิด ส่วนการพิมพ์เพิ่มเติม (4/2 , 4/3) ได้มีการแก้ไขส่วนที่พิมพ์ผิดแล้ว

A1-6 (หน้า 228)
ให้ทำ
2. งบกระทบยอดเงินฝากในธนาคาร ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2554 แก้เป็น 31 กรกฎาคม 2554

A1-7 (หน้า 229)
ให้ทำ งบกระทบยอดเงินฝากในธนาคาร ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 แก้เป็น 31 ธันวาคม 2554

A3-1 (หน้า 234)
ให้ทำ
2.2) เมื่อนำไปขายลดวันที่ 23 มีนาคม 2555 แก้เป็น 23 กุมภาพันธ์ 2555

A3-3 (หน้า 234)
ต.ค. 4 แก้เป็น พ.ย. 4

พิมพ์ผิดทัี้ง 3 รุ่น (ตรวจพบหลังจากการพิมพ์ครั้งที่ 4/3 ไปแล้ว)
A1-2 (หน้า 225)
ให้ทำ
1. งบกระทบยอดเงินฝากในธนาคาร ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2554 แก้เป็น 31 ตุลาคม 2554

สารบัญบล็อก

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

สถิติผู้ใช้ Facebook ในไทย

สารบัญบล็อก

สถิติผู้ใช้ Facebook ในไทย
ปี
2008
2009
2010
2011
2012
2013
จำนวนผู้ใช้ (ล้านราย)
0.17
1.96
6.73
13.28
17.47
18.20
ลำดับในโลก
27
23
21
16
15
13
จำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน (%)

1,063.80
242.89
97.18
31.60
4.18
ยอดจำนวนผู้ใช้ ปี 2008 - 2011 (สิ้นปี)   ปี 2012 (29 ต.ค.)   ปี 2013 (22 ก.พ.)

Facebook Users (22/02/2013)
Rank
Country
Millions
1
United States
163.07
2
Brazil
66.55
3
India
61.50
4
Indonesia
47.17
5
Mexico
39.95
6
Turkey
32.44
7
United Kingdom
32.18
8
Philippines
30.09
9
France
25.31
10
Germany
25.06
11
Italy
23.03
12
Argentina
20.40
13
Thailand
18.20
14
Canada
18.00
15
Colombia
17.69

ที่มาของข้อมูล >>>    ปี 2008 - 2011     ปี 2012     ปี 2013

ผู้ใช้ในไทยปี 2013 (22 ก.พ.) 18.20 ล้านราย แยกเป็นผู้ชาย 49% ผู้หญิง 51%
อายุ 18-24 ปีใช้มากที่สุด (5,96 ล้านราย) คิดเป็น 33% ของจำนวนผู้ใช้ในไทยทั้งหมด 
รองลงมาอายุ 25-34 ปี

อันดับหนึ่งในแต่ละประเภท (วัดจากจำนวนแฟน)
Page  
Facebook for Every Phone
Brands 
ICHITAN
Celebrities 
ตัน ภาสกรนที
Entertainment 
แฮปปี้คนเลี้ยงหมู
Media  
อัพยิ้มดอทคอมบริการเติมรอยยิ้ม 24 ชม.
Politics  
Abhisit Vejjajiva
Sports 
Manchester United
Places  
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (อันนี้วัดจาก Checkins)



ภาพแสดงอันดับ 1 - 5 ในแต่ละประเภท (คลิกที่ภาพใดก็ได้ เพื่อเข้าไปดูที่ socialbakers)


















สารบัญบล็อก