วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ทักษิณแปรรูปรัฐวิสาหกิจ “ ขายชาติ ชาติจะหายนะ ” จริงหรือ ???

สารบัญบล็อก

เรื่องนี้ผมเคยเขียนลงบน webboard ของ IF และ Prachatalk ในช่วงคุณยิ่งลักษณ์หาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 54

การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ถูกกล่าวหาว่าขายทรัพย์สมบัติของชาติ และอีกหลายๆวาทะกรรมที่ช่วยกันประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อทำลายนายกทักษิณ

รัฐวิสาหกิจก็คือ ธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของ ต่อมาต้องการให้เอกชนมาร่วมลงทุนด้วย ดังนั้นต้องไปจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัท ทุนจดทะเบียนเป็นเท่าใด เช่น 1,000 ล้านหุ้น ราคาตามมูลค่าหุ้นละ 10 บาท แล้วนำหุ้นออกขายให้เอกชน จำนวนหุ้นที่นำออกขายให้เอกชนต้องน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นทั้งหมด

เช่น ของปตท. กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น 52% ของหุ้นทั้งหมด ส่วนอีก 48% นำออกขายให้เอกชน รัฐจะต้องถือหุ้นไว้ให้เกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นทั้งหมด เพื่อให้สามารถกำหนดนโยบายการจัดการของบริษัทได้นั่นเอง เพราะว่าการโหวตในเรื่องต่างๆ เช่น เลือกกรรมการบริษัท เขานับจำนวนโหวตที่จำนวนหุ้น ไม่ได้นับตามจำนวนมือของผู้ถือหุ้นที่ยก ดังนั้น การโหวตเรื่องต่างๆรัฐบาลจะชนะทุกครั้ง

Eแตงโม มรึงถือหุ้นอยู่ 9 หุ้น เท่ากับ 9 คะแนน ไอ้แดงมันถือหุ้น 10,000 หุ้น เท่ากับ 10,000 คะแนน Eแตงโม Eนกเหี่ยว เหล่าดาราและสลิ่มสมองกลวงทั้งหลาย จำใส่กะโหลกอันแสนหนาของพวกมรึงไว้เลยว่า เขาไม่ได้นับตามจำนวนมือที่ยกโว๊ย เขานับตามจำนวนหุ้น

พูดถึงเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ทำให้นึกถึง การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต นายกทักษิณถูกกล่าวหาว่า ขายชาติ จะทำให้ชาติล่มสะลาย ตัวละครที่ขย่มเรื่องนี้อย่างนัก โดยนำเอาเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในประเทศอาร์เจนตินา มาขย่มนายกทักษิณ จนนายกทักษิณเซไปเซมา ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือ นิติภูมิ นวรัตน์ (ปัจจุบันเป็น สส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย)

แล้วศาลปกครองตัดสินว่าเป็นการแปรรูปที่ผิด ในตอนนั้นผมนึกเลยว่า ลางหายนะมาสู่นายกทักษิณแน่นอน ผมว่าตรงนี้แหละถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความพ่ายแพ้ของนายกทักษิณ บอกตรงๆเลย ผมรับไม่ได้กับตัวละครตัวนี้ เกลียดแม่งฉิบเลย

ตอนช่วงหาเสียงเลือกตั้งในปี 54 เพื่อนผม “ChiangraiPlus” ทำเว็บ Chiangrai TV ยั๊วจัด ถึงกับขึ้นตัวหนังสือหน้าเว็บว่า “ขอแสดงความยินดีกับพรรคเพื่อไทยที่รับไอ้หน้าเอี้ย นิติภูมิ เข้าเป็นส.ส. ขอให้นายกทักษิณและพรรคเพื่อไทยจงโชคดี ดังนั้น ขอปิดเว็บเป็นเวลาหนึ่งปี”

นายกทักษิณท่านมีจิตใจเมตตาจริงๆ ให้อภัยแม้กระทั่งคนที่เคยทำร้ายท่าน จนท่านล้ม ตัวผมเป็นนักปฏิบัติธรรมแท้ๆ ยังไม่สามารถจะให้อภัยแบบท่านนายกทักษิณได้เลย ทั้งๆที่ เรื่องที่ไอ้เวรตัวนี้มันทำ ไม่ได้เกี่ยวกับผมโดยตรงแม้แต่น้อย

กลับมาเข้าประเด็นครับ ทักษิณเป็นนายกสมัยแรกต้นปี 2544 มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทจำกัดดังนี้ ปตท. (PTT) ปลายปี 44 , ทศท. (TOT) กลางปี 45 , กสท. (CAT) กลางปี 46 เป็นการแปรรูปภายใต้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสากิจ พ.ศ. 2542 (สมัยชวนเชื่องช้า)

การแปรรูป ปตท. เป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

เริ่มเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2544 จำนวนหุ้นที่จดทะเบียน 2,000 ล้านหุ้น ราคาตามมูลค่า (Par Value) หุ้นละ 10 บาท รวมเป็นทุนที่จดทะเบียน 20,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด มูลค่าหุ้นตามบัญชี 16.82 บาทต่อหุ้น ( ส่วนของผู้ถือหุ้น 33,630 ล้านบาท / 2,000 ล้านหุ้น )

ต่อมาในวันที่ 2 ตุลาคม 2544 ปตท.ได้จดทะเบียนเพิ่มทุนอีก 850 ล้านหุ้น โดยนำออกจำหน่าย 797.2 ล้านหุ้น ได้รับเงินจำนวน 25,965.3 ล้านบาท (จำหน่ายให้พนักงานและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานปตท.และบริษัทร่วมทุนจำนวน 47.2 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 10 บาท และจำหน่ายให้รายอื่นๆทั้งในและต่างประเทศจำนวน 750 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 35 บาท)

ปี 2549 ปตท.นำหุ้นออกจำหน่ายอีก 7.7 ล้านหุ้นได้รับเงินจำนวน 1,405.4 ล้านบาท

เงินที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นถูกนำไปใช้ในการขยายกิจการของปตท. เป็นการลดภาระทางการเงินแก่รัฐ เมื่อแปรรูปแล้ว ปตท.ส่งเงินเข้าคลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ปี 2544 (ก่อนการแปรรูป) ปตท. ส่งเงินเข้าคลังประมาณ 5 พันล้านบาท

จากตัวเลขในตารางจะเห็นได้ว่า แม้ว่ากระทรวงการคลังจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงก็ตาม แต่ผลประโยชน์ที่คลังได้รับจาก ปตท.ก็เพิ่มขึ้นทุกปี ตัวเลขผลประโยชน์ที่คลังได้รับเป็นคำตอบได้อย่างดีว่า การแปรรูปรัฐวิสาหกิจจะทำให้ประเทศหายนะ จริงหรือไม่

ไอ้อีพวกที่ประณามทักษิณว่าขายชาติ มาแหกตาดูหน่อย ความโง่ดักดานของพวกมรึงจะได้หายไปเสียที

สิ้นปี 2544 จำนวนหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ลดลง 62.2 ล้านหุ้น และปี 2547 ลดลง (จากปี 2546) จำนวน 470 ล้านหุ้น (ทักษิณขโมยไปซุกมั๊ง) ถ้าเป็นการขายหุ้นในปี 2547 เงินจะกลับเข้าคลังอย่างน้อยที่สุด ไม่ต่ำกว่า 6.4 หมื่นล้านบาท (ราคาหุ้นในปี 2547 ต่ำสุด-สูงสุด 136-192 บาท)

คลิก > จำนวนหุ้นที่กระทรวงการคลังถือ และ จำนวนหุ้นในมือผู้ถือหุ้นทั้งหมด (Outstanding Shares) ในปี 2545 - 2549
คลิก > ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปัจจุบัน


ปตท. มีสินทรัพย์ (ทรัพย์สิน) มากที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมีมูลค่าตลาดเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 5.17 แสนล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2546 (ราคาหุ้นละ 185 บาท)



ก่อนรัฐประหารปี 2549 ผมไปหาเพื่อนที่บรรหารบุรี เมียเพื่อนด่าอัศวินดาวเทียมให้ผมฟัง “ทักษิณมันเลว ขายชาติ เอาหุ้นของปตท. ไปขายให้ต่างชาติ ไปขายให้พวกพ้อง พรรคพวกมันและต่างชาติกลายเป็นเจ้าของปตท.ไปแล้ว อีกหน่อยประเทศเราก็จะเป็นแบบอาร์เจนตินา ……..”

ผมก็ย้อนถามว่า “แล้วใครบอกเธอ”เมียเพื่อนผมก็บอกว่า “ดูข่าวจาก ASTV และ อ่านจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน”
ผมก็เลยพูดไปว่า “เธอไปเชื่อไอ้ลิ้มเต็กซ์ได้ยังไง ส่วนใหญ่แม่งโกหกทั้งนั้น บางเรื่องพูดความจริงส่วนหนึ่ง แล้วต่อเติมด้วยเรื่องโกหก จะบอกให้นะ รัฐวิสาหกิจที่แปรรูปกระทรวงการคลังจะต้องถือหุ้นไว้ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง”

พอผมด่าไอ้ลิ้มเต็กซ์เท่านั้นแหละ ทีนี้มาเป็นชุดเลย “เธอไม่รู้จริง เธออย่างโน้น เธออย่างนี้ ………….”
ผมก็เลยบอกว่า “เฮ้ย เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า” ปัจจุบันทราบว่าเมียเพื่อนผมกลายเป็นคนเสื้อแดงไปแล้ว

ผมนึกเสียดาย กฟผ. ถ้าแปรรูปได้สำเร็จประเทศเราจะได้ประโยชน์มากเลย ตัวละครอีกตัวหนึ่งนอกจากไอ้เอี้ยนี่ฮิภูมิ ที่ออกมาตีอัศวินดาวเทียมเรื่องแปรรูป กฟผ. แม่งเป็นนางอิจฉาหน้าตาเหมือนเต้าหู้ อีนังรสสัตว์นา ต้องเอาสากตำข้าวสมัยโบราณตำปากแม่งสักที

มีบางคนบอกผมว่า คนที่ทำงาน กฟผ. ทุกคนจะได้รับสวัสดิการเรื่องค่าไฟฟ้า เป็นการกำหนดอัตราที่ตายตัว เช่น 1,000 บาทต่อเดือน บางตำแหน่งได้รับเงินค่าไฟฟ้าเดือนละเป็นหมื่นก็มี ต้นทุนเพิ่มขึ้นแม่งก็ผลักภาระมาให้พวกเรา เพิ่มสวัดิการพนักงานก็ผลักภาระมาให้พวกเราไม่ยอมเสียผลประโยชน์เลย เสพสุขกันจนพุงปลิ้นกันตามๆไป คนที่ไม่ใช่ลูกหลานพนักงาน อย่าหวังว่าจะได้เข้าไปทำงานที่แห่งนี้เลย องค์กรแห่งนี้มันเป็นของพวกกรูเท่านั้น พวกมรึงอย่าสะเออะ

การแปรรูป ทศท. (TOT) และ กสท. (CAT)

TOT จดทะเบียน 600 ล้านหุ้น ราคาตามมูลค่า (Par Value) หุ้นละ 10 บาท CAT จดทะเบียน 1,000 ล้านหุ้น ราคาตามมูลค่า (Par Value) หุ้นละ 10 บาท เมื่อสิ้นปี 51 กระทรวงการคลังยังถือหุ้น 100% ก็คือ ยังไม่ได้มีการแปรรูปอย่างแท้จริง (ยังไม่มีเอกชนเข้าร่วมลงทุนนั่นเอง)

รายได้ของทั้ง TOT และ CAT แยกออกเป็น 2 ชนิด ชนิดแรกเป็นรายได้จากค่าสัมปทานโทรศัพท์มือ AIS, DTAC, True Move, DPC (จะเรียกว่าค่าต๋งก็ได้) ชนิดที่สองเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานด้วยตัวเอง (เกิดจากลำแข้งตัวเอง) ดังนั้น ทั้ง TOT และ CAT น่าจะนำเงินส่งคลังในแต่ละปีมากกว่าค่าสัมปทานที่ได้รับจากบริษัทมือถือ



ปี 2546 – 2551
ทั้งสองกิจการได้รับค่าสัมปทานรวม 122.6 พันล้านบาท (76.7 + 45.9) แต่ส่งเงินเข้าคลังเพียง 94.6 พันล้านบาท (57.7 + 36.9) ความจริงควรจะต้องส่งเงินเข้าคลังมากกว่า 122.6 พันล้านบาทเสียด้วยซ้ำ เพราะมีรายได้ประเภทอื่นด้วย ทั้งสองกิจการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ยังมิได้แปรรูปเป็นบริษัทอย่างแท้จริงเพราะคลังยังถือหุ้นเต็ม 100% แต่ ปตท.ที่ได้มีการแปรรูปอย่างแท้จริง ปี 2545 – 2549 ส่งเงินเข้าคลังสูงถึง 135.7 พันล้านบาท ท่านคงจะเห็นแล้วว่า การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทำให้ชาติได้ประโยชน์หรือหายนะกันแน่???

เรื่องที่น่าแปลก ก็คือ ช่วงปี 2550 – 2551 TOT และ CAT ได้รับค่าสัมปทานเต็มจำนวน แต่เงินที่จ่ายให้คลังน้อยกว่าค่าสัมปทานที่ได้รับ แต่ถ้าดูที่ช่วงปี 2546 – 2549 ได้รับค่าสัมปทานน้อยกว่า (โทรศัพท์แบบเติมเงิน 10% แบบรายเดือน 15%) แต่เงินที่จ่ายให้คลังบางปีมากกว่าค่าสัมปทานที่ได้รับ บางปีจ่ายให้น้อยกว่า (10% ของค่าสัมปทานที่หายไป บริษัทมือถือนำไปจ่ายเป็นภาษีสรรพสามิตให้แก่คลัง ซึ่งยุทธ์เขายายเที่ยงยกเลิกเมื่อปี 2550)

ค่าสัมปทานที่ได้รับจากบริษัทมือถือก็คือเงินที่พวกเราจ่ายให้บริษัทมือถือ น่าจะส่งเข้าคลังทั้งหมด แล้วนำไปซื้อ Notebook แจกนักเรียนที่ประถมหนึ่งทุกคนทุกปี แต่ละปีมีเด็กเข้าเรียนประถม 1 ประมาณปีละ 1 ล้านคน ซื้อจำนวนมากๆเช่นนี้ไม่น่าจะเกินเครื่องละ 6,000 บาท ปีหนึ่งก็ 6,000 ล้านบาทซึ่งน้อยกว่าค่าสัมปทานที่ได้รับเสียอีก ถือเป็นการลงทุนที่ล้ำค่าจริงๆ

ผลการดำเนินงานของ TOT และ CAT มีแต่ทรุด


แปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องหนึ่งที่รวมอยู่ในไฟล์ "โต้ข้อกล่าวหาทักษิณอย่างย่อ" (pdf 8 หน้า) >> ดาวน์โหลด  ไฟล์โต้ข้อกล่าวหาทักษิณฯ ได้มีการอัพโหลดใหม่เมื่อ 7 ก.ย. 58 เนื่องจากไฟล์เดิมมีข้อผิดพลาด กล่าวคือ ใต้ตาราง (หน้า 5) จำนวนเงิน : ล้านบาท ที่ถูกต้องคือ จำนวนเงิน : พันล้านบาท

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ทักษิณโกงจริงหรือ ???
ทักษิณขายหุ้น VS ลุงที่เชียงรายขายทองคำ

สารบัญบล็อก