วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

สารบัญบล็อก

สื่อการสอนบัญชี
หนังสือบัญชีขั้นต้น
หนังสือบัญชีบริหาร
หนังสือบัญชีขั้นต้น ติดอันดับ 1 หนังสือขายดี
หนังสือบัญชีบริหาร ติดอันดับ 1 หนังสือขายดี
PowerPoint บัญชีขั้นต้น
PDF บัญชีขั้นต้น
PowerPoint PDF บัญชีบริหาร
VDO บทเรียนบัญชีขั้นต้น บทที่ 1
VDO บทเรียนบัญชีบริหาร บทที่ 2
MP3 บททดสอบ แนวคำตอบแบบฝึกหัด กระดาษคำตอบแบบฝึกหัด – บัญชีขั้นต้น และ บัญชีบริหาร
แก้ไขที่พิมพ์ผิดหนังสือบัญชีขั้นต้น สำหรับการพิมพ์ครั้งล่าสุด (ครั้งที่ 4)

บทความการเมือง
ทักษิณโกงจริงหรือ ???
ทักษิณขายหุ้น VS ลุงที่เชียงรายขายทองคำ
คำพูดของทักษิณที่แสดงถึงวิสัยทัศน์กว้างไกล
ทักษิณแปรรูปรัฐวิสาหกิจ “ ขายชาติ ชาติจะหายนะ ” จริงหรือ ???
การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของนักการเมือง
เลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน จ่ายหัวละ 4,000 บาท !!!!!!
รศ.ดร.สังศิต กับ ผลการศึกษากรณีชินคอร์ปที่ผิดพลาดและบิดเบือน
ข้อมูลจาก Forbes Thailand เชื่อถือได้ทุกเรื่องหรือไม่?

ดนตรี
Heavy Hard Hot – วิฑูร วทัญญู
Grand Funk Railroad สามหนุ่มผู้ปราดเปรียว
Michael Schenker กีตาร์กรีดและเขย่าหัวใจ
คนพันธุ์ Rock ออสซี่ ออสเบิร์น
ดนตรีกับการต่อต้านสงคราม
เนื้อเพลงของวง Black Sabbath มีสัมผัสสระด้วยหรือ???
เด็กญี่ปุ่นอายุ 9 ปี ดังระดับโลก ร่วมเล่นกีตาร์กับ Ozzy

ศาสนา
ประวัติพระพุทธเจ้า
วัดป่าห้วยบง เชียงราย

ภาษี
ทำไมคนบางกลุ่มอยากเสียภาษีเยอะ
ภาษีเงินได้ที่จะลดลง ถ้าเอาไปขึ้นเงินเดือนให้พนักงานทั้งหมด พนักงานปูนซิเมนต์ได้คนละเท่าใด
เปรียบเทียบการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อัตราเดิม vs อัตราใหม่
เครดิตภาษีเงินปันผล >>> รับค่าภาษีคืน

อื่นๆ
สถิติผู้ใช้ Facebook ในไทย
Thursday the 13th

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

Thursday the 13th

สารบัญบล็อก

เลข 13 ชาวคริสต์ถือว่าเป็นเลขอัปมงคล เชื่อมโยงมาจากเหตุการณ์ในสมัยพระเยซู กล่าวคือ สาวกของพระองค์12 คนร่วมโต๊ะอาหารกับพระองค์รวมเป็น 13 คน จูดาสผู้ทรยศต่อพระเยซูนั่งโต๊ะอาหารตำแหน่งที่ 13 ดังนั้น อาคารสูงในประเทศตะวันตกหลายแห่งมาก ในแผลงปุ่มกดในลิฟท์จะไม่มีเลข 13 ให้กดเพื่อให้ลิฟท์หยุดที่ขั้น 13 แต่เลี่ยงไปใช้ตัวเลขอื่นแทน เช่น 12A และติดป้ายชั้น 13 เป็น ชั้น 12A ตัวผมเกี่ยวข้องกับเลข 13 ทั้งทางตรงและทางอ้อมมากพอควร

ขอเริ่มด้วยเรื่องการเรียนของผมก่อนที่มันเกี่ยวกับเลข 13 โดยทางอ้อม

ผมเรียนจบม.ศ. 3 รร.สามชุกรัตนโภคาราม อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ต้นปี 2514 (ปีการศึกษา 2513) เพื่อนๆที่จบจากโรงเรียนเดียวกันที่เรียนต่อมัธยมปลายสายสามัญ (ม.ศ. 4-5) มีเพียง 4 หรือ 5 คนเท่านั้น (รวมทั้งตัวผม ตอนเรียนม.ศ. 2 มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนิสิตวิศวจุฬาฯ) เหตุที่นักเรียนทั้งประเทศไม่เลือกเรียนสายนี้เพราะร่ำลือกันว่ายากมากโดยเฉพาะแผนกวิทยาศาสตร์ มีนักเรียนเป็นจำนวนมากต้องลาออกไปเรียนช่างกล พาณิชย์ ครู เพราะเรียนไม่ไหว บางคนเรียน ใช้เวลา 3 ปี หรือ 4 ปี หรือ 5 ปี พูดง่ายๆตกซ้ำชั้นอยู่นั้นแหละ ต้องกล่าวคำว่า “มอศอห้าจ๋า ขอลาก่อน” ทุกคนที่เข้าเรียนมัธยมต้นรุ่นเดียวกับผม จะจบปีการศึกษาเดียวกันถ้าไม่ตกซ้ำชั้น (สมัยนั้นถ้าสอบชั้นไหนไม่ผ่านต้องเรียนซ้ำชั้นกับรุ่นน้อง ไม่เหมือนกับระบบการศึกษาในปัจจุบัน)

จบม.ศ. 5 (แผนกวิทยาศาสตร์) เมื่อ 5 ทศวรรษก่อน ก็คือเมื่อต้นปี 2516 (ปีการศึกษา 2515 เมื่อนำเอาตัวเลขทุกตัวมารวมกัน 2+5+1+5 = 13) การเรียน ม.ศ. 5 สมัยนั้นไม่มีคะแนนเก็บ ก็คือสอบเมื่อสิ้นเทอมสองเพียงครั้งเดียว โดยใช้ข้อสอบเหมือนกันทั่วประเทศ และสอบวันเดียวกันทั้งประเทศ อาจารย์ผู้คุมสอบจะเป็นอาจารย์จากโรงเรียนอื่น (คงกลัวอาจารย์ของโรงเรียนบอกนักเรียนมั๊ง) ประกาศผลสอบทางหนังสือพิมพ์ (ก่อนรุ่นผม 3 ปีประกาศผลสอบทางวิทยุ) เช่นเดียวกันกับมัธยมต้น ทุกคนที่เข้าเรียนมัธยมปลายสายสามัญรุ่นเดียวกับผม จะจบปีการศึกษาเดียวกันถ้าไม่ตกซ้ำชั้น

สอบ Entrance เลือกวิศวทั้ง 6 อันดับ อันดับ 1 จุฬาฯ (รหัสเลือก จฬ13) อันดับ 2 จุฬาฯสบทบ (รหัสเลือก จฬ13) อันดับ 3 ม.เกษตร อันดับ 4 ม.ขอนแก่น อันดับ 5 ส.พระจอมเกล้าธนบุรี และ อันดับ 6 ส.พระจอมเกล้านนทบุรี ผลปรากฏว่าความใฝ่ฝันที่จะเป็นนิสิตวิศวจุฬาฯตั้งแต่ตอนเรียน ม.ศ. 2 ต้องแห้ว แต่ก็ยังดีที่ติดวิศวพระจอมเกล้าธนบุรี เรียนได้ปีเดียวก็ถูก retire แห้วอีกแล้วGoo จากนั้นก็ไม่เคยใฝ่ฝันถึงจุฬาฯอีกเลย

ที่เขียนเริ่มเรื่องไว้แบบนี้เพื่อให้คนหลังรุ่นฺ Baby Boomer ก็คือ Gen X, Millennials, Gen Z และ Gen Alfa ได้รู้ว่า วิธีการวัดผลการศึกษาในประเทศไทยเมื่อ 5 ทศวรรษก่อนเป็นอย่างไร เชื่อว่ารู้เรื่องนี้น้อยมากกกกก เท่าที่เคยลองค้นดูยังไม่เจอคนเขียนเรื่องนี้ สำหรับ Baby Boomer ที่ยังมีชีวิตอยู่คงจะจำกันได้ กลับไปเข้าเรื่องเลข 13

หลังจากถูก retire ผมก็ไปทำงานตามโรงงานต่างๆหลายแห่ง แล้วกลับมาเรียนบัญชีที่รามจนจบ แล้วได้เข้ารับราชการเป็นนายทหารเหล่าการเงินเมื่อตอนต้นปี 2528 อยู่ได้เพียง 5 เดือนก็ลาออกเพราะแบกดาวบนบ่าและถือกระบี่ไม่ไหว (อะไรวะ แค่ดาวเดียวนะโว๊ย แล้วจะไปทำมาหากินอะไรได้) น้องชายบอกว่าไปสมัครสอบเข้าเรียนต่อป.โทดีมั๊ย ก็เลยย้อนถามกลับไปว่าใครจะส่งเสียให้เรียน น้องชายบอกว่าจะเป็นคนส่งเสียเอง นึกในใจน้องGooนี่มันแสนดีจริงๆ

ปี 2529 ก็คิดในใจว่า ขอฝันเป็นนิสิตจุฬาอีกครั้ง ไปสมัครสอบเข้าเรียนต่อปริญญาโทบัญชีจุฬาฯที่เดียวเท่านั้น วัดดวงชะตากันเลย หมายเลขผู้สมัครสอบคือ 13 และไปอธิษฐานกับพระวิษณุเทพที่เสาชิงช้าด้วยเพื่อให้มีกำลังใจ พร้อมกับขยันดูหนังสืออย่างเต็มที่  หลังสอบเสร็จคิดในใจว่า คงแห้วอีกตามเคย เมื่อประกาศผลสอบปรากฏว่าผมสอบติด ป.โท ตามหลักสูตรเรียน 2 ปี ถ้าเรียน 5 ปีแล้วไม่จบจะต้องถูกให้ออก เพื่อนที่เก่งเรียน 3 ปีจบ แต่ผมใช้เวลาเรียน 5 ปีเต็ม ยื่นหัวข้อที่จะทำวิทยานิพนธ์น่าเกือบ 10 หัวข้อได้มั๊ง กว่าจะได้รับการอนุมัติก็เกือบจะครบ 5 ปีแล้ว

ตอนไปรับปริญญา ลูกสาวของน้องชายไปด้วยและได้อุ้มหลานถ่ายรูปที่คณะ ต่อมาผมได้ทราบว่าหมายเลขประจำตัวของหลานตามทะเบียนบ้านเลข 3 ตัวหลังคือ 713 ตั้งแต่นั้นมาผมรักเลข 13 มากเพราะถือว่าเป็นเลขที่นำโชคมาให้ผม อ้าวลืมบอกไปเลยว่า น้องชายไม่ได้เป็นคนส่งเรียนนะ เพราะหลังจากที่ผมได้เป็นนิสิตจุฬา ผมก็ได้รับเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษที่โรงเรียนโยนออฟอาร์คพณิชยการสอนวิชาบัญชีให้กับนักเรียนบัญชีปี 3

ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าจะทำอะไรผมจะนึกถึงเลข 13 มาตลอด ขนาดผมต้องการตื่น 6 โมงเช้า ผมจะตั้งนาฬิกาให้ปลุกที่เวลา 6:07 น. (รวมกันได้ 13) การตั้งชื่อไฟล์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาพ วิดีโอ PowerPoint และไฟล์อื่นๆมักจะมีเลข 13 อยู่ด้วย url เว็บไซต์และบล็อกของผม ac13.tk (ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว) acc713.blospot.com

ต่อมาเมื่อต้นเดือนนี้ (11 พ.ย. 2566) มีคนขอเป็นเพื่อนทาง Facebook หลังรับเป็นเพื่อนแล้ว ผมก็ได้เข้าไปดูโปรไฟล์ อ้าวเคยสนิทสนมกันนี่น่า ถือได้ว่าเป็นคนสำคัญคนหนึ่งสำหรับผม (คลิกหรือแตะที่ภาพเพื่อดูวิดีโอคลิปที่ยูทูป) ติดต่อกันครั้งสุดท้ายหลังจากผมได้เข้าเป็นนิสิตจุฬาฯได้สักสามสี่เดือน รวมเวลาขาดการติดต่อกันแล้วปาเข้าไปตั้ง 3.7 ทศวรรษ (ก่อนหน้านั้น 1 ปี ขณะนั้นผมยังรับราชการเป็นนายทหาร เราจากลากันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง สาวเจ้าดื่มเบียร์ผมสั่งไอศครีม) เจอเข้าอีกแล้วเลข 13 คือเกิดเดือนกรกฏาคมวันที่ 13 เขียนเดือนเป็นเลขด้วยก็คือ 713 เลขเดียวกับหมายเลขประจำตัวของหลาน เลข 3 ตัวสุดท้ายคือ 713

วันนั้นเปิด messenger พบว่าสาวเจ้าโทร.หาผมช่วงที่ผมปิดมือถือ และเขียนข้อความไว้บอกว่า ให้ผมโทร.กลับ แล้ววันนั้นเราก็ได้คุยกันหลังที่ขาดการติดต่อกัน 3.7 ทศวรรษ ผ่านมา 10 กว่าวัน มีความคิดแว๊บขึ้นมาว่า คงจะมีอะไรเกี่ยวกับ 13 อีกมั๊ง แล้วก็พบว่าวันที่ 11 พ.ย. 2566 ตรงกับแรม 13 ค่ำ เดือน 11 และเวลาที่ผมโทร.หาสาวเจ้าที่ปรากฏใน messenger คือ 23:35 น. (2+3+3+5 = 13) ว้าว! ต้องกล่าวว่า เธอมาพร้อมกับเลข 13 จริงๆนะครับท่าน ถึงได้กล่าวไว้ใน paragraph ก่อนหน้าว่า เป็นคนสำคัญคนหนึ่งสำหรับผม

ผมก็เลยเริ่มสำรวจเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับตัวผม พบว่าตัวเลข 13 เยอะไปหมดจนน่าตกใจ รู้สึกใจหวิวๆเลย

ตัวเลข 13 ทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่ทำให้ชีวิตเลวร้ายบ้างดีขึ้นบ้าง

ผมเกิด 26 พ.ค.(05)    26 ÷ 2 = 13 และ 2+6+0+5 = 13 ตรงกับขึ้น 6 ค่ำเดือน 7 (ตามที่เขียนไว้ในสูติบัตรแจ้งเกิด) 6+7 = 13 เวลาเกิด 04:45 น. (4+4+5 = 13)

เมื่อตรวจสอบกับปฏิทิน 100 ปี วันที่ 26 พ.ค. 2498 ตรงกับ วันพฤหัส ขึ้น 5 ค่ำ แต่ที่เขียนไว้ในสูติบัตรเป็นวันศุกร์ เหตุที่ข้อมูลแย้งกันคงเป็นเพราะ เกิดก่อนเช้า ทางจันทรคติถือว่ายังไม่ได้ขึ้นวันใหม่ แต่ทางสุริยคติหลังเที่ยงคืนถือเป็นวันใหม่ จึงเกิดความสับสนในการบันทึกการเกิด อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น วันพฤหัสที่ 26 หรือ ศุกร์ที่ 27 วันเดือนเวลาเกิดทำให้เกิดเลข 13 ได้ 2-4 จำนวน วันเกิดตัวเองแท้ๆ เพิ่งจะรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับ 13 เมื่อ 2-3 วันก่อนนี้เอง

พ.ศ. 2519 หรือ ค.ศ. 1976

(7+6 = 13) กลางปี 2518 ลาออกจากงานที่บริษัท สยามคราฟท์ จำกัด อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ชีวิตตอนทำงานที่สยามคราฟท์เละเทะมากทั้งกัญชาและเหล้าเกือบทุกวัน กลับไปอยู้บ้านที่สุพรรณ ปลายปี 2518 บวชเณร (กลางพรรษา) เพราะเกิดสำนึกดีชั่วขึ้นหลังจากเมาจนขาดสตินอนอยู่ข้างทางเข้าโรงหนัง และหลังออกพรรษาบวชเป็นพระ กลางปี 2519 (ก่อนเข้าพรรษา) สึกจากพระ ชีวิตเลวร้ายแบบสุดๆ ทั้งเหล้า กัญชา ฝิ่น ยาเม็ด ผงขาว ทำร้ายตัวเองโดยใช้มีดโกนกรีดแขนกว่า 10 แผล ต้องลาออกจากบริษัท ไทเรยอน จ.อ่างทอง คนทั่วไปเขาบวชกันก่อนเข้าพรรษาและสึกตอนออกพรรษา เฮ้ย นี่เอ็งมันผิดปกตินี่หว่า บวชตอนออกพรรษาแต่สึกก่อนเข้าพรรษา

พ.ศ. 2524

(2+5+2+4 = 13) ถูกขังโรงพักพญาไท 5 วันด้วยข้อหาเมาสุราอาละวาด และ ถูกคำสั่งศาลแรงงานให้ออกจากงานที่บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด ข้อหาดื่มสุราในขณะปฏิบัติหน้าที่

พ.ศ. 2528 หรือ ค.ศ. 1985

(8+5= 13) ได้เข้ารับราชการเป็นนายทหารเหล่าการเงิน ตำแหน่งประจำ กง.ทบ. (กรมการเงินทหารบก) เข้ารับราชการได้เพียงวันหรือสองวันเนี่ยก็ถูกส่งให้ไปเรียนที่โรงเรียนทหารการเงิน กง.ทบ. ที่ ยศ.ทบ. (กรมยุทธศึกษาทหารบก)

ได้รับการประดับดาวบนบ่าที่ ยศ.ทบ. นั่นแหละ ภาพที่นำมาให้ดู เป็นภาพถ่ายในวันซ้อมพิธีสาบานธงที่ ยศ.ทบ. ในวันกองทัพไทยปีนั้น (25 ม.ค.) ได้แต่งชุดใหญ่เข้าร่วมพิธีสาบานธงด้วยที่ ปตอ. เกียกกาย

หลังเรียนจบแล้ว ถูกส่งไปฝึกทำบัญชีย่อยที่ ร.11/1 รอ. (กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์)  ต่อมาฝึกทำบัญชีใหญ๋ที่ ยศ.ทบ. นายทหารที่ฝึกทำบัญชีใหญ่แล้ว จะถูกส่งไปอยู่สังกัดใหม่

เพื่อนผมที่เป็นนายสิบการเงินบอกว่า สังกัดใหม่ของผมเป็นกองพันเปิดใหม่ที่จังหวัดลพบุรี ที่ลพบุรีสมัยนั้นดงผงขาวเลย ก่อนผมจะจบ ป.ตรี ชีวิตก็วนเวียนอยู่กับเหล้าและยาเสพติดตลอด เคยไปรักษาตัวที่ถ้ำกระบอก สระบุรี มีทหารจากลพบุรีมารักษาตัวเยอะทีเดียว ส่วนใหญ่เสพผงขาว

ปีนี้ไม่รู้ว่าจะให้เป็นโชคดีหรือโชคร้าย เพราะอยู่ได้เพียง 5 เดือนก็ลาออกและต้องเสียค่าปรับ 30,000 บาทเพราะรับราชการไม่ครบ 2 ปี ผมเป็นนายทหารคนแรกของ กง.ทบ. ที่ลาออกแล้วเสียค่าปรับ และต่อๆมาก็เชื่อว่าไม่น่าจะมีคนอื่นอีก

ลาออกไปทำอะไรหรือ ลาออกไปนั่งสมาธิอยู่บ้าน/ที่วัดทุ่งสามัคคีธรรม (หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก) สุพรรณบุรี พ่อบ่นทุกวัน บ้าไปแล้ว เป็นนายทหารอยู่ดีๆลาออกมาอยู่บ้าน พ่อแกพูดถูก ผมมันช่างบ้าดีแท้ เพื่อนสนิทที่เป็นนายสิบที่ กง.ทบ. พูดกับผมว่า ไอ้ห่าเอ๊ยมีแต่เขายอมเสียเงินเพื่อเข้ารับราชการ แต่มึงยอมจ่ายเงินเพื่อให้กรมอนุมัติออกจากราชการ คนแถวบ้านส่วนใหญ่นินทากันว่า ทำผิดถูกไล่ออกเลยต้องเสียค่าปรับ เชื่อเถอะไม่ใช่เฉพาะคนแถวบ้านหรอกที่คิดแบบนี้ คนที่ไหนที่ไหนก็ต้องคิดแบบนี้ทั้งนั้นแหละ

พ.ศ. 2529

นับตั้งแต่ปี 2516 ซึ่งเป็นปีที่ผมเรียนจบ ม.ศ.5 (entrance เลือกวิศวจุฬาฯอันดับ 1) มาจนถึงปีนี้ก็ 13 ปี อายุ 31 ปี สมัครสอบป.โทบัญชีจุฬาฯ สาขาการต้นทุน เลขประจำตัวผู้เข้าสอบ 13 ในปีนี้ผมก็ทำให้พ่อแม่ต้อง surprise เพราะสอบติดป.โทบัญชีจุฬาฯ และในปีนี้ได้รับเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษที่โรงเรียนโยนออฟอาร์คพณิชยการ สอนนักเรียนบัญชีปี 3 ห้อง 11-14 นักเรียนที่ผมมีความผูกพันมากที่สุดคือห้อง 13  และที่รร.นี้ผมได้ทำในสิ่งที่ชอบและอยากทำมากคือขึ้นเวทีร้องเพลง hard rock ทั้งๆที่ร้องเฮงซวย (Concert ลืมตัวครั้งที่ 1) ปี 2530 ผมก็ได้ไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยรังสิต

พ.ศ. 2534

ผมเรียนจบป.โทที่จุฬาฯต้นปี 2534 (ปีการศึกษา 2533) 2+5+3+3 = 13 วันที่สำเร็จการศึกษาที่ระบุไว้ใน Transcript (ใบรับรองผลการศึกษา) June 7, 1991 (06+7 = 13) หลานที่อุ้มถ่ายรูปวันรับปริญญา เกิดพ.ศ. 2533 (2+5+3+3 = 13) ต่อมาหลานเรียนจบที่จุฬาฯ คณะศิลปกรรม สาขานฤมิตรศิลป์ กลายเป็นศิษย์เก่าจุฬาฯรุ่นน้อง เอ๊ยไม่ใช่ ต้องเรียกว่า ศิษย์เก่าจุฬาฯรุ่นหลาน ในปีนี้ผมได้ไปเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยโยนก จังหวัดลำปาง การใช้ชีวิตที่ลำปางเละเทะมาก ต่อมาปี 2536 ผมก็ย้ายกลับมาสอนที่มหาวิทยาลัยรังสิตเช่นเดิม

พ.ศ. 2542

(2+5+4+2 =13) เขียนหนังสือเล่มแรกวางจำหน่าย (การบัญชีเพื่อการจัดการ) ขณะนั้นเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ถ้าพูดเป็นภาษานักดนตรีก็ต้องบอกว่า Gooได้ออกอัลบั้มแล้วโว้ย (ผมชอบดนตรี Heavy Metal และชอบขึ้นเวทีร้องเพลงถ้ามีโอกาส ความสามารถในการร้องอยู่ในระดับเฮงซวย)

พ.ศ. 2547 ลาออกจากม.รังสิตไปปฏิบัติธรรม

ถึงปีนี้เท่ากับว่า หลังจากจบป.โทผมสอนหนังสือมาได้ 13 ปีแล้ว ปีนี้ผมอายุ 49 ปี  (4+9 = 13) มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมาก
(1)
ร่วมกับดร.ธีรเสฏฐ์จัดทำหลักสูตร การบริหารต้นทุนเชิงกลยุทธ์สำหรับ SMEs ซึ่งเป็นการศึกษาแบบ  E-Learning (ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ในปีนี้ยังไม่มี Youtube ส่วน Google เกิดขึ้นปี 2541) ในโครงการ Learn2gether ของบริษัทยูคอม
(2)
จัดทำสื่อการสอน บัญชีขั้นต้น และ บัญชีบริหาร เผยแพร่บนเว็บไซต์ ThailandAccount.com
(3)
ได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมดนตรีสากล ในปีนี้ วง Metal Icarus ของม.รังสิตได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 Bangkok Music Award 2004 จึงได้จัดงานแสดงความยินดีให้กับวง งานนี้ผมได้ขึ้นร้องเพลง Hard Rock ที่ม.รังสิตสมความตั้งใจ (Concert ลืมตัวครั้งที่ 2) และการได้ขึ้นร้องเพลงในครั้งนี้แหละเป็นเหตุผลหนึ่งทีทำให้ผมตัดสินใจลาออกจากม.รังสิต ทำไมหรือ 

เพื่อนสนิท (ขณะนั้นเป็นรองคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.รังสิต) ชอบแซวผมว่า เมื่อไหร่จะไปบวชตลอดชีวิตวะ มึงพูดว่า จะ… จะ… อยู่นั่นแหละ ก็เลยบอกว่า การเปลี่ยนวิถีชีวิตไปเป็นนักบวชมันต้องใช้เวลาโว๊ย ไม่ง่ายเหมือนเรื่องเปลี่ยนงาน บางครั้งก็บอกว่าถ้า Goo ได้มีโอกาสขึ้นเวทีร้อง Hard Rock ที่ม.รังสิตแล้ว Goo จะลาออก เคยคิดแบบนี้จริงๆแต่ไม่ได้ซีเรียสมาก

ตอนสอนโยนออฟอาร์คพณิชยการก็ได้ร้อง ต่อมาไปอยู่ม.รังสิตไม่มีโอกาสได้ร้อง พอไปอยู่วิทยาลัยโยนก ลำปาง ก็ได้ร้อง แล้วก็กลับมาที่ม.รังสิตอีกครั้ง

หลังจาก Concert ลืมตัว ก็ได้ใคร่ครวญดูว่า เรายังต้องการอะไรอีกหรือ ตำแหน่งทางวิชาการก็ได้แล้ว (ได้เป๊น ผศ. ปี 2545) หนังสือที่ร่วมเขียนกับเพื่อนก็ได้เผยแพร่ไปสู่ภายนอกแล้ว การได้รับเชิญเป็นวิทยากรก็ได้รับเชิญแล้วจาก สำนักตรวจบัญชีกลาโหม และ โรงพิมพ์ธนบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และปีนี้เกิดสิ่งดีๆมากมาย

และแม้แต่เรื่องที่เราคิดเล่นๆว่า อยากขึ้นเวทีร้องเพลงโชว์ที่ม.รังสิต ก็ได้โชว์แล้ว ถ้าเราลาออกปีนี้ (ปี 2547) เงินที่เก็บสะสมไว้เพื่อให้พ่อแม่ใช้จนกว่าจะเสียชีวิต (ประมาณ16 ปีนับจากปี 2547) ก็ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว

หลังจากนั้นก็ได้ไปที่ถ้ำเมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งไปเป็นประจำปีละ 3 ครั้งตั้งแต่ปี 2540 ได้บอกกับหลวงตาม้าว่า ผมจะลาออกจากงานเพื่อมาอยู่ถ้ำเมืองนะ
(4)
เดือนพฤศจิกายนปี 2547 ผมยื่นใบลาออก เขียนเหตุผลในการลาออกว่า ต้องการไปปฎิบัติธรรม แล้วจะบวชในโอกาสถัดไป และได้จัดมินิคอนเสิร์ตที่ม.รังสิตครั้งสุดท้ายชื่องาน “อำลา อำนาจ” ณ ลานพยอม ม.รังสิต ไม่ใช่อะไรหรอก จ้ดขึ้นเพื่อ Gooจะได้ขึ้นร้องเพลง Hard Rock เพื่ออำลาม.รังสิต งานนี้วง Metal Icarus (ปัจจุบันคือ Melodius Deite) เล่นเป็นวงหลัก และ เด็ก อดีตมือคีย์บอร์ดวง Blue Stars (ขณะนั้นเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์เพลงบริษัท อาร์เอสโปรโมชั่น จำกัด) ร่วมแจมกับวง Metal Icarus เอก มุติ มือกีตาร์ดาวเด่น อดีตมือกีตาร์วง Blue Stars ร่วมเสนอผลงานชุดใหม่และร่วมแจมกับวง Enzyme นักร้องนะหรือคือผมเอง นักร้องเฮงซวย เพื่อนสหธรรมมิกของผมที่เป็นอาจารย์ม.รังสิตด้วยกัน (เปี๊ยก หรือ Sam Antony) นั่งอยู่ในงานตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งเลิก

นิรวาณเอ๋ย เจ้าจำได้ไหม หมอดูชื่อดังที่ลำปางเคยทำนายชะตาของเจ้า (ตอนเจ้าสอนหนังสือที่นั่น) ทั้งๆที่เจ้าไม่ได้ขอให้ทำนาย อาจารย์ต้องใช้ชีวิตอยู่ทางภาคเหนือ ไม่อาจจะหนีไปอยู่ที่อื่นได้ เจ้าบอกกับเพื่อนและลูกศิษย์ที่สนิทว่า หมอดูหรือจะสู้ตัวเราที่จะลิขิตชีวิตตัวเอง แล้วก็แสดงให้เห็นด้วยการลาออกจากวิทยาลัยโยนก ลำปาง กลับไปอยู่ ม.รังสิต 555 หมอดูแพ้เราแล้ว ที่ไหนได้ ในที่สุดในปีนี้เจ้าก็กลายเป็นฝ่ายแพ้ อายุยังไม่ถึง 50 เลย มาเริ่มปักหลักที่ภาคเหนือ อยู่ถ้ำเมืองนะ ป่าเชียงดาว และ เชียงราย  นิรวาณ เจ้าจงจำใส่หัวไว้ พรหมลิขิต บางเรื่องเจ้ามิอาจฝืนได้ 666

พ.ศ. 2549

(4+9 = 13) พ่อเสียชีวิต เขียนหนังสือเล่มสุดท้ายร่วมกับเพื่อน (การบัญชีขั้นต้น ฉบับอ่านเข้าใจง่าย) ปีนี้เป็นปีที่ตั้งใจจะบวช แต่ไม่ได้บวช โดยเขียนส่งท้ายใน วิดีโอประวัติชีวิต ไว้ว่า
ตอนลาออกจากงาน (ปลายปี 47) ตั้งใจจะปฏิบัติธรรม 2 ปี แล้วจึงบวชเป็นพระ และจะครองผ้ากาสาวพัสตร์ไปตลอดชีวิต ผ่านมาแล้ว 5 ปียังไม่ได้บวชตามที่ตั้งใจไว้ อนิจจัง !!! ไม่มีอะไรแน่นอน มันไม่เที่ยง และ End Credits ไว้ดังนี้ Amzy R. Nirvana   ชาตะ : วันพฤหัสบดี ปีมะแม พุทธศตวรรษที่แล้ว    มรณะ : ภายในพุทธศตวรรษนี้    นิรวาณ : ไม่รู้ชาติใหน แล้วตั้งความหวังใหม่ว่า เลือนเป็นอายุ 58 ปี (ปี พ.ศ. 2556) เพื่อจะให้มันลงตัวที่ 13 ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ ไปๆมาๆยกเลิกไปอีก หลังจากนั้นก็ไม่นึกถึงเรื่องการบวช แต่หันมานึกถึงเรื่องการตายแทน ชาตินี้เดินทางไม่ถึงนิรวาณแน่ เดินทางต่อในชาติหน้าดีกว่า

พ.ศ. 2551

(2+5+5+1=13) ได้อ่านกลอนให้นายกทักษิณฟังทางโทรศัพท์ ได้พบกับท่านเป็นครั้งแรกอย่างใกล้ชิด และได้ขึ้นเวทีปราศัยทางการเมืองเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เชียงราย มีอยู่ครั้งหนึ่ง คนที่เคยมาดูเวทีปราศัยต้องการจะมอบเงินให้กับเวทีปราศัยเพื่อใช้ในการต่อต้านการกระทำของกลุ่มพันธมิตร แต่ขอให้คนชุดขาวมาเป็นคนรับมอบเงิน ดูขัดแย้งจังนะพี่ !?!? นักปฏิบัติธรรม ชอบฟังดนตรี Heavy ขึ้นเวทีปราศัยทางการเมือง 555 เพื่อนๆที่เป็นสลิ่มเมื่อรู้เรื่องนี้ถามผมว่าทักษิณจ่ายให้เดือนละเท่าไร ก็เลยเออออไปเลยว่าเดือนละ 10 ล้าน (ทำด้วยใจรักประชาธิปไตย ช่วยกันออกเงิน แต่ละคนหมดไปเยอะ หลายคนโดนคดีอีกด้วย)

พ.ศ. 2560

(2+5+6+0 = 13) เพื่อนรุ่นน้องรับงานออกแบบวิธีคิดต้นทุนผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์กตามระบบต้นทุนฐานกิจกรรมจากองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย แล้วโทรมาหาผมบอกว่า มอบให้พี่เป็นคนออกแบบและสอนวิธีคิดให้แก่นักบัญชีขององค์การ เลยบอกกับรุ่นน้องว่า เอาอาจารย์ที่เป็นเพื่อนพวกเราอีกคนดีกว่า

เพราะตัวผมไม่มีสภาพนักบัญชีหลงเหลืออยู่เลย ผมและหนวดเครายาวรุงรัง เป็นนักบัญชีแหกคอก รุ่นน้องบอกว่ารับเถอะน่าพี่ ในพวกเรา 4 คน พี่คนเดียวจบป.โททางด้านต้นทุนโดยตรงและเชี่ยวชาญการใช้โปรแกรม excel ไอ้เรื่องหนวดเคราไม่เป็นไรหรอก เพราะได้คุยกับหัวหน้าฝ่ายบัญชีแล้วว่า

คนที่จะมาออกแบบระบบให้ เชิญออกมาจากถ้ำเลย การได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้ถือเป็นเกียรติและภาคภูมิใจมาก นึกถึงตอนปี 2550 ร่วมเป็นวิทยากรในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 35 หัวข้อ ” ติดปีกตำราไทยด้วยสื่อ Digital Content ” จัดโดยศูนย์หนังสือจุฬาฯ ครั้งนั้นแต่งชุดขาวขนาดยังไม่ได้ไว้ผมและหนวดเครายังรู้สึกเขินๆพอสมควร มาคราวนี้เปลี่ยนเป็นชุดสีเทาไว้ผมยาวหนวดเครารุงรัง คิดในใจเอาอีกแล้วกูทำตัวไงดีวะ

พ.ศ. 2564 วันที่ 4 ก.ย.(เดือน 09)

สั่งเสียเรื่่องจะตาย แจ้ง username, password และ pin ที่ใช้ในการขายหุ้น โอนเงิน เปิดมือุุถือ ให้หลานฝ่านทาง messenger เมื่อวันที่ 4 ก.ย.     4+09 = 13 

เรื่องการตายได้เคยบอกกับอาจารย์จง วัดป่าหัวยบง เชียงรายไว้ว่า ถ้าตายก็ให้เผาที่วัดเลย และได้คุยให้แม่ได้รู้เรื่องนี้เช่นกัน และบอกว่าไม่ต้องขึ้นไปงานเผาศพ ตอนนั้นน่าจะปี 2558 ตอนคุยกับแม่ แม่บอกว่าทำใจไม่ได้ถ้าลูกตายก่อน

ผมเคยหมดสติ 2 ครั้ง ครั้งแรกระหว่างดึงประตูรั้วบ้านเพื่อเปิด หงายหลังล้มทั้งยืน ก่อนล้มรู้ว่ากำลังจะล้ม แต่ตอนที่ล้มไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวตอนที่คนเข้ามาดึงตัวขึ้น แปลกที่ไม่มีอาการปวด บวม เคล็ดขัดยอก หรือ บาดเจ็บแม้แต่เล็กน้อย ครั้งที่สอง ไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกตัวอีกทีขณะนอนอยู่บนพื้นห้องน้ำ ครั้งนี้ก็แปลกเช่นกัน ไม่มีอาการปวดบวมหรือบาดเจ็บแม้แต่เล็กน้อย

และอีกครั้งคล้ายเหมือนตาย ผมกำลังเดินอยู่บนถนนพญาไทรู้สึกมีอาการหน้ามืดจะเป็นลม (ปกติผมเป็นบ่อยต้องหยุดเดินแล้วพยายามหาที่เกาะยึด สักพักอาการจะหายไปเองแล้วจึงเดินต่อ) แล้วความรับรู้ต่างๆหายไปหมดสิ้น เหมือนว่ามีตัวเราอยู่เพียงคนเดียว ไม่มีตัวตน แล้วมีความคิดผุดขึ้นมาว่า เดี๋ยวคนก็มาเจอศพเราเอง แล้วมารู้สึกตัวอีกทีขณะกำลังเดินและได้ยินเสียงรถวิ่งเห็นภาพรถผู้คนสิ่งก่อสร้างตามปกติ เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการหมดสติสองครั้งนั้น

กลางเดือนตุลาคมหมอให้ติดเครื่อง holter (เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ) ตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ไปรักษาโรคตา อัตราการเต้นของหัวใจวัดครั้งแรก 130 ครั้งต่อนาที วัดใหม่อีก 2 ครั้งก็ใกล้ 130 ครั้ง อัตราการเต้นของหัวใจระดับนี้จะไม่เกิดขึ้นในขณะนั่งวัด แต่จะเกิดขึ้นขณะกำลังวิ่ง และพยาบาลได้เปลี่ยนเครื่องวัดใหม่อัตราการเต้นจึงเข้าสู่ระดับปกติ (60-100 ครั้งต่อนาที)

ต่อมาปลายเดือนตุลาคมหมอโรคหัวใจแนะนำว่า ต้องฝังเครื่องกระตุกหัวใจไว้ใต้ผิวหนังเพื่อป้องกันไม่ให้เสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายฉับพลัน เราจะตัดสินใจติดหรือไม่ติดก็ได้ แต่หมอก็พยายามพูดโน้มน้าวให้ติด ก็นั่นแหละหนาอาชีพหมอไม่อยากให้คนใข้ตายอยู่แล้ว ใจผมไม่อยากติดเพราะไม่กลัวตาย แล้วก็เคยรู้สึกคล้ายกับตายมาครั้งหนึ่งโดยที่จิตไม่มีอาการตกใจกลัวแต่อย่างใด ผมรู้สึกเกรงใจหมอ ไม่กล้าบอกปฏิเสธ ก็เลยตอบตกลง กลับไปถึงบ้านก็ยังรู้สึกเสียใจที่ไม่กล้าปฏิเสธหมอ

2 พ.ย. 2564 (นี่ถ้าเอาเลขวันที่บวกกับเลขเดือน 2+11 = 13) ผ่าตัดเล็กเพื่อฝังเครื่องกระตุกหัวใจที่โรงพยาบาลตำรวจ จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังเสียใจที่ไม่กล้าปฏิเสธติดเครื่องกับหมอ ถ้าไม่ติดผมคงได้เปลี่ยนร่างใหม่ไปแล้ว ตายด้วยอาการหัวใจวายฉับพลันน่าจะสบายที่สุดเมื่อเทียบกับการตายด้วยอาการอื่นๆ เครื่องกระตุกหัวใจมีอายุไม่เกิน 7 ปี ก็คือต้องเปลี่ยนเครื่องเมื่อแบตเตอรี่หมด ไปตรวจครั้งล่าสุดพูดกับหมอว่า ถ้าแบตหมดผมจะผ่าเอาเคริ่องออกโดยไม่ใส่เครื่องใหม่ หมอแกพูดแบบขึ้นเสียงเลย ยังไงคุณต้องใส่เครื่อง อาชีพหมอก็แบบนี้ทุกคนครับ ไม่อยากให้คนใข้ตาย

พ.ศ. 2567

(6+7 = 13) ขอทำมรณบัตรเพื่อเปลี่ยนร่างใหม่ ร่างเก่าทรุดโทรมเต็มที่แล้ว ทำให้ยากต่อการปฏิบัติธรรม ใครมีหน้าที่อนุมัติช่วยลงลายมือชื่อด้วยครับ จะได้ไปปฏิบัติธรรมต่อในชาติหน้า เร่งเดินทางให้ไปถึงนิรวาณ साधु साधु साधु 

เลข 13 ส่งผลดีหรือผลร้ายกันแน่กับชีวิตผม ???

ปี 2524 ทั้งถูกขังโรงพักและถูกให้ออกจากงาน อาจมองได้ว่ามันคือ ชะตาลิขิต ให้ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ไม่เช่นนั้นชิวิตที่เหลือคงจมปลักอยู่กับความสำมะเลเทเมาไปจนตาย

ส่วนในปี 2528 ลาออกจากนายทหารและเสียค่าปรับ 30,000 บาท ก็อาจมองได้เช่นกันว่าส่งผลดีต่อชีวิต เพราะผมเคยฝันว่า เมาเหล้าขาดสติแต่งชุดทหารติดยศร้อยเอก นอนถือขวดเหล้าอยู่ข้างทางรถไฟ ที่อยู่ระหว่าง สถานีรถไฟสามเสน กับ ยศ.ทบ.ที่ผมไปเรียนและฝึกทำบัญชีใหญ่  ซึ่งอยู่เหนือสถานีขึ้นไปนิดเดียว (จำไม่ได้ว่าฝันก่อนหรือหลังจากออกจากนายทหาร เป็นฝันที่ชัดเจนมาก) ตอนเรียนและฝึกทำบัญชีใหญ่ ผมพักอยู่แถวสวนจิตรลดา เดินไป ยศ.ทบ. ทุกวันไม่ไกลมากนัก หลังลาออกจากนายทหารการเงิน  ต่อมาได้ก็ได้เป็นนิสิตป.โทบัญชีจุฬาฯ เป็นการเติมความฝันในวัยเด็กตอนเรียนม.ศ. 2 ที่อยากเป็นนิสิตวิศวจุฬาฯ แม้ว่าจะต่างจากความฝันบ้าง แต่ก็ถือว่าทดแทนได้อย่างสมบูรณ์


สารบัญบล็อก


สารบัญบล็อก