วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556

Grand Funk Railroad สามหนุ่มผู้ปราดเปรียว

สารบัญบล็อก

Grand Funk Railroad เป็นวงดนตรีที่ผมโปรดปรานมากที่สุดไม่เคยได้มีโอกาสได้ลองร้องเพลงของ GFR เลย ทั้งๆที่อยากร้องมาก ผิดกับของ Black Sabbath ซึ่งเป็นวงผมโปรดปรานรองลงมา ได้มีโอกาสได้ร้องหลายเพลงและในหลายโอกาส ประวัติวงนี้ในวิกิพีเดีย (ภาษาไทย) มีไม่กี่บรรทัด จำเป็นต้องเรียบเรียงจากวิกิพีเดียฉบับภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประวัติวง ข้อมูลอัลบัม ข้อมูลเพลง ข้อมูลอื่นๆ คำให้สัมภาษณ์ของ Mark Farner จาก mib.com และ markfarner.com

ทั้งๆที่ความสามารถด้านภาษาอังกฤษของผมไม่ค่อยจะแข็งแรง ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างสูดสุดทีเดียว ยอมตรากตรำเพราะความโปรดปรานเป็นเหตุ ใช้เวลาในการเรียบเรียงอาทิตย์กว่า ทยอยโพสท์ในกระทู้ Heavy Hard Hot ที่เว็บไซต์ประชาทอล์คจนครบเมื่อปีที่แล้ว (2555) คิดว่าควรจะมาโพสท์ไว้ที่ blog นี้ด้วย

การก่อตั้งวงและการเปิดตัวครั้งแรกของวง

Grand Funk Railroad เป็นวงอเมริกันร็อค มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในยุค 70s นักวิจารณ์ดนตรีเกลียดพวกเขา แต่ผู้ฟังเพลงรักพวกเขา ก่อตั้งวงในปี 1969 (พ.ศ. 2512) โดย Mark Farner และ Don Brewer (จากวง Terry Knight and the Pack) และ Mel Schacher (จากวง Question Mark & the Mysterians) โดย Terry Knight เป็นผู้จัดการวง (ตอนอยู่วง Terry Knight and the Pack เป็นนักร้องนำ)

ชื่อวงมาจากการเล่นคำ Grand Trunk Railroad ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟที่วิ่งผ่านเมืองที่พวกเขาอยู่ (Flint, Michigan) ต่อมาได้เข้าร่วมแสดงในงาน Atlanta Pop Festival ซึ่งจัดเมื่อ 4 – 5 ก.ค. ปี 1969 (4 ก.ค. คือวันชาติของอเมริกา) ก่อน Woodstock เดือนกว่า (มีศิลปินดังเข้าร่วมมากมาย เช่น Janis Joplin, Johnny Winter, Johnny Rivers, Blood, Sweat & Tears, Canned Heat, Joe Cocker, Creedence Clearwater Revival, Led Zeppelin) GFR เล่นในวันแรก

การเปิดตัวในครั้งนี้นับได้ว่าเป็นความสำเร็จครั้งแรกวง (ได้เซ็นต์สัญญากับค่ายเพลง Capitol Records) และได้รับการขอร้องให้เล่นต่อในวันที่ 5 อีกวันแม้เสียงร้องจะแหบห้าวจากวันแรกก็ตาม ด้วย Terry Knight เป็นผู้ที่มีความเข้าใจทางด้านการตลาดเป็นอย่างดีเขาจึงยึดเอาวง Cream เป็นแบบอย่าง แล้วพัฒนาวงให้เป็นสไตล์ของตัวเอง GFR เล่นดนตรีสามชิ้นและมือกีตาร์เป็นนักร้องนำเช่นเดียวกับวง Cream (ถ้าจะว่าไปแล้ว Terry Knight จะเป็นนักร้องของวงก็ได้เพราะตอนที่เป็น Terry Knight and the Pack นั้นเขาเป็นนักร้องนำของวง ส่วน Mark Farner เล่นกีตาร์อย่างเดียว)

ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี วางจำหน่ายอัลบัม 5 ชุด

เดือนถัดมา (สิงหาคม) หลังจากการเปิดตัวครั้งแรก ได้วางจำหน่ายอัลบัมแรก On Time ซึ่งขายได้มากกว่า 1 ล้าน copy อีก 4 เดือนถัดมาคือเดือนธันวาคมได้วางจำหน่ายอัลบัมชุดที่สอง Grand Funk ต่อมาในปี 1970 ได้วางจำหน่ายอัลบัมชุดที่สาม Closer to Home ซึ่งมี single ฮิตคือ I’m Your Captain (Closer to Home) ติดอันดับ 22 ในอเมริกา และอันดับ 21 ในแคนนาดา ทั้ง 3 อัลบัมได้รับรางวัล gold record (1) จาก RIAA
(1) ข้อสังเกต 1 ล้าน copy ได้รับรางวัล gold record ผมเข้าใจว่าในช่วงนั้นคงเป็นรางวัลสูงสุดแล้ว ต่อมา RIAA จึงได้กำหนดให้มีรางวัล Platinum และ Diamond แต่ก็มีข้อสงสัยอีกก็คือเข้าไปดูที่ Grand Funk Railroad discography พบว่าอัลบัมชุดที่ 2 และ 3 ได้รับรางวัล Platinum และ Multi-Platinum ตามลำดับ ตามที่แสดงไว้ในตารางด้านล่าง

on time grand funk closer to home live album survival
Albums

วงได้จ่ายเงินถึง $100,000 ให้กับ New York Times Square billboard เพื่อโฆษณาอัลบัม Closer to Home หลังจากวางจำหน่ายสตูดิโออัลบัม Closer to Home ได้ประมาณ 4 เดือนก็วางจำหน่ายอัลบัมแสดงสด (Live Album) และต่อมาใน ปี 1971 เดือนเมษายนก็ได้วางจำหน่ายอัลบัมชุดที่สี่ Survival ซึ่งได้รับรางวัล Platinum อีกเช่นกัน เรียกได้ว่า GFR เป็นนักขุดทองตัวยงทีเดียว ภายไม่ถึง 2 ปี วางจำหน่ายอัลบัม 5 ชุด

สถิติของ The Beatles ที่ Shea Stadium ถูกทำลายโดย GFR

แล้วความฮ็อทของ GFR ก็ทำให้สถิติคลั่งไคล้ต่อคอนเสิร์ตของ The Beatles ที่ Shea Stadium เมื่อ 6 ปีก่อน (15 ส.ค. 1965) ต้องแตกลงด้วยคอนเสิร์ตของ GFR (9 ก.ค. 1971) กล่าวคือ ตั๋วคอนเสิร์ตของ GFR ขายหมดภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน) ในขณะที่ของ The Beatles เมื่อ 6 ปีก่อน ใช้เวลาถึง 7 สัปดาห์ (49 วัน) วิศวกรโครงสร้างของ Shea Stadium รู้สึกกังวลว่าความตื่นเต้นของแฟนเพลงที่แสดงออกทางร่างกาย (กระโดดโลดเต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง) ในคืนนั้น อาจจะเป็นสาเหตุทำให้ Stadium เกิดความเสียหายได้ และเท่าที่เข้าไปอ่านใน mlb.mlb.com อย่างคร่าวๆ Mark Farner กล่าวว่า พวกเราเห็นอัฒจรรย์หยวบขึ้นหยวบลงจากอาการตื่นเต้นของแฟนเพลงต่อการแสดง ครั้งนั้น



เพลงจากอัลบัมต่างๆที่นำออกมาจำหน่ายในรูปแบบ single

songs

เกี่ยวกับการผลิตอัลบัมแรก On Time

โดยปกติการผลิตอัลบัมของวง Hard Rock ในช่วงปลายยุค 60s ถึงต้นยุค 70s จะมิกซ์เสียงกีตาร์ให้ดังกว่าเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆ แต่การผลิตอัลบัมแรกของ GFR กลับมิกซ์เสียงเบสดังกว่าเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆโดยเฉพาะกีตาร์ นับเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆในยุคนั้น (น่าจะไม่มีลักษณะเช่นนี้ด้วยมั๊ง) แฟนเพลงบางคนอ้างว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะ Mel Schacher เป็นนักดนตรีที่เยี่ยมที่สุดของวง แต่ก็ไม่มีคนรู้จักเขา
ขณะที่ Terry Knight ซึ่งเป็นผู้อำนวยการผลิดอัลบัมมีแนวโน้มที่ชอบให้มิกซ์เสียงเบสเด่นกว่า เครื่องดนตรีชิ้นอื่น เสียงกีตาร์ของ Mark Farner ถูกมิกมิกซ์ให้ดังขึ้นในอัลบัมถัดมา ผมซึ่งเป็นเพียงผู้ชอบฟังเพลงเท่านั้นไม่ได้มีความรู้เรื่องดนตรีแต่อย่างใด มีความรู้สึกว่า ชุดต่อๆมาเสียงเบสก็ยังดังกว่าเสียงกีตาร์อยู่ดี

Live Album ( 1970 ) ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง

Live Album เป็นบันทึกการแสดงสดใน Florida ( 23 – 25 มิ.ย. 1970 ) นำมาออกเป็นอัลบัมโดยตรงเลย ก็คือ ไม่มีการ re-mixing, over-dubs or enhanced audio engineering พูดง่ายๆเป็นเพลงที่นำมาบรรจุในอัลบัมมาจากเสียงที่บันทึกไว้ตอนแสดงสดจริงๆ (direct recording) ไม่มีการปรุงแต่งใดๆเลย แต่ภาพปกอัลบัมกลับกลายเป็นคนละเรื่องกันเลย กล่าวคือ ภาพที่นำมาทำเป็นปกอัลบัมเป็นภาพการแสดงสดที่ Atlanta International Pop Festival เมื่อวันที่ 4 ก.ค. (วันชาติอเมริกา) 1970

อัลบัมนี้วางจำหน่ายเมื่อ 16 พ.ย. 1970 (ต่อจาก Closer To Home) ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจากนักวิจารณ์ดนตรีหลายคน Robert Christgau ซึ่งเป็นนักวิจารณ์ดนตรีคนหนึ่งบอกว่า มันเป็นอัลบัมแสดงสดที่ห่วยแตก (bad live album) แต่มันกลับกลายเป็นอัลบัมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด (ในแง่ยอดขาย) กล่าวคือ หลังจากวางจำหน่ายได้เพียงสัปดาห์เดียวก็ได้รับรางวัล Gold จาก RIAA ต่อมาในท้ายที่สุดเมื่อปี 1991 ได้รับถึง 4 Platinum (2× Multi–Platinum)

E Pluribus Funk

พฤศจิกายนปี 1971 (พ.ศ. 2514) วางจำหน่ายสตูดิโออัลบัมชุดที่ห้า E Pluribus Funk ชื่ออัลบัมมาจากการเล่นคำกับ E Pluribus Unum (มีความหมายว่า One from many) ซึ่งเป็น motto ที่พิมพ์อยู่บนตราประจำชาติของอเมริกา
E Pluribus Funk ได้รับรางวัล Platinum อีกเช่นเคย บางคนเรียกชุดนี้ว่า อัลบัม “เหรียญเงิน” ซึงเป็นชุดที่ผมชอบมากที่สุด เพลงในชุดนี้ประกอบด้วย
(1) Footstompin’ Music (2) People, Let’s Stop the War (3) Upsetter
(4) I Come Tumblin’ (5) Save the Land (6) No Lies (7) Loneliness

E Pluribus Funk  E pluribus unum
                    E Pluribus Funk                                          E Pluribus Unum

เพลง People, Let’s Stop the War เป็นการแสดงเจตนาต่อต้านสงครามอย่างชัดเจน (#)

เนื้อเพลงบางส่วน
If we had a president, that did just what he said,
The country would be just alright, and no one would be dead,
From fighting in a war, that causes big men to get rich.
There’s money in them war machines, now ain’t this a bitch? Oh …

ถ้าพวกเรามีประธานาธิบดีที่ทำตามที่เคยหาเสียงไว้
ประเทศเราก็จะสงบสุข ไม่มีใครต้องไปตายในสงคราม
การสู้รบในสงคราม มันได้สร้างความร่ำรวยให้คนใหญ่โต
จากเงินที่ค้าอาวุธสงคราม ไอ้สัตว์หน้าตัวเมีย
(ต้องขออภัย ถ้าสื่อความหมายของเพลงผิดเพี้ยนไปบ้าง)

(#) กระแสการต่อต้านสงครามเริ่มเมื่อปลายปี 1967 ( พ.ศ. 2510 ) โดยประชาชนชาวอเมริกันที่รักความสันติและเสรีภาพรวมตัวกันต่อต้านสงคราม เวียตนามที่หน้าตึกกระทรวงกลางโหมของอเมริกา (Pentagon) ขณะนั้น ลินดอน บี. จอห์นสัน เป็นประธานาธิบดี และวันที่ 4 พฤษภาคม 1970 (พ.ศ. 2513) นักศึกษา Kent State University ประมาณ 1,500 คน ประท้วงประธานาธิบดี Nixon ที่ตัดสินใจส่งทหารเข้าบุกกัมพูชา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของรัฐ (National Guardsmen) ประมาณ 100 กว่าคนพร้อมปืนไรเฟิลและแก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุม นักศึกษาถูกยิงตาย 4 คน บาดเจ็บ 9 คน หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไปได้เพียง 10 กว่าวัน Crosby, Stills, Nash & Young ได้เขียนเพลงชื่อ OHIO ซึ่งเนื้อเพลงพาดพิงถึงประธานาธิบดี Nixon ทำให้ถูกห้ามเปิดในสถานีวิทยุบางแห่ง เนื้อหาบางส่วนของเพลง Tin soldiers and Nixon’s comin’ …….. Four dead in Ohio.

GFR ไล่ Terry Knight ออก

ปลายปี 1971 สมาชิกในวงเริ่มเกิดความกังวลเกี่ยวกับสไตล์การบริหารงานและความไม่โปร่งใน เรื่องการเงินที่ Terry Knight รับผิดชอบอยู่ ความไม่พอใจเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด GFR จึงไล่ Terry Knight ออกเมื่อต้นปี 1972 และ Knight ได้ฟ้องวง การต่อสู้คดีความยืดเยื้อ วงตัดคำว่า Railroad ออกจากชื่อวง (Farner ได้กล่าวว่า แฟนเพลงของพวกเขาส่วนมากเริ่มเรียกพวกเขาแค่เพียง Grand Funk เท่านั้น) ดังนั้น อัลบัมที่ทำขึ้นหลังจากที่ Terry Knight ออกไปแล้วจะพิมพ์ชื่อวงที่ปกอัลบัมว่า Grand Funk เท่านั้น

phoenixwe are american bandshininonthegirls

GFR เพิ่มสมาชิกใหม่และได้ Todd Rundgren มาเป็น Producer

ปี 1972 วงได้รับ Craig Frost เข้าเป็นสมาชิกของวงแบบเต็มตัวในตำแหน่งมือคีย์บอร์ด จริงๆแล้ว Craig Frost ทั้งบันทึกเสียงและทัวร์กับ GFR มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เป็นแค่นักดนตรีเสริม (sideman) ปลายปีได้วางจำหน่ายสตูดิโออัลบัมชุดที่หก Phoenix ชุดนี้ GFR เป็น Producer เอง ต่อมา Todd Rundgren (อดีตมือกีตาร์และผู้ก่อตั้งวง Nazz เจ้าของเพลง ใต้น้ำแข็งอันเย็นละเยือก “Under The Ice”) นักดนตรีที่เชี่ยวชาญเรื่องระบบเสียงได้เข้ามารับผิดชอบในฐานะ Producer อัลบัมชุดที่ 7 และ 8 คือ We’re an American Band (1973) และ Shinin’ On (1974)

สตูดิโออัลบัมชุดที่ 9 (ปลายปี 1974) All the Girls in the World Beware!!! เปลี่ยน Producer เป็น Jimmy Ienner ปกอัลบัมชุดนี้เป็นภาพสมาชิกทั้งสี่คนเฉพาะส่วนหัว (ใบหน้า) ส่วนลำตัวเป็นของ Arnold Schwarzenegger และ Franco Columbu ช่วงที่ทำอัลบัมชุดนี้ Mark Farner อย่าร้างกับภรรยาคนแรก จึงได้บรรยายความรู้สึกออกมาในเนื้อเพลง Bad Time เนื้อเพลงส่วนหนึ่ง Well, let her be somebody else’s queen เอาหละ ปล่อยให้เธอไปเป็นของชายคนอื่นซะ

Mark Farner พบรักใหม่กับ Sally

แม้ว่ากลางทศวรรษ 70s วงประสบความสำเร็จอย่างสูงก็ตาม แต่ความตึงเคลียดในวงกลับเพิ่มขึ้นเนื่องจาก ปัญหาส่วนตัว ความเหนื่อยล้า และทิศทางดนตรี แต่ด้วยสัญญาที่ยังเหลืออีก 2 อัลบัมที่ต้องทำให้กับค่ายเพลง Capitol Records สมาชิกในวงจำเป็นต้องร่วมทำงานกันต่อไป

และเพื่อให้สัญญาดังกล่าวหมดสิ้นลง Grand Funk ก็ได้ตัดสินใจใช้บันทึกเสียงจากการออกทัวร์ครั้งหนึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1975 มาทำเป็น double live album “Caught in the Act” Grand Funk คิดว่าการทำอัลบัมคู่ชุดนี้ (double album) น่าจะถือได้ว่า ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้กับ Capital Records ได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม แต่ทาง Capital Records ไม่คิดเช่นนั้น โดยอ้างเหตุผลว่า เพลงใน double live album เป็นเพลงในชุดก่อนๆ (พูดง่ายๆว่า มันไม่ใช่สตูดิโออัลบัม) แต่ Capital Records ก็ได้ขอให้ Grand Funk ทำสตูดิโออัลบัมให้อีกเพียงชุดเดียวเท่านั้นจะถือว่าครบตามสัญญา

ขณะที่แรงกดดันและแรงตึงเคลียดในเรื่องต่างๆภายในวงยังมีอยู่ แต่สมาชิกในวงจำเป็นต้องกัดฟันร่วมงานกันทำอัลบัมอีกชุดหนึ่งเพื่อหลีก เลี่ยงปัญหาทางกฎหมายที่จะเกิดขึ้น ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ Terry Knight ในปี 1972 และตั้งแต่ชุด Caught in the Act เป็นต้นมา วงกลับไปใช้ชื่อเต็มตามเดิมคือ Grand Funk Railroad


ต้น ปี 1976 ก็ได้คลอดสตูดิโออัลบัมชุดที่ 10 “Born to Die” เนื้อหาของเพลงในอัลบัมชุดนี้เกี่ยวกับ ความตาย การเมือง และ ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล เพลงหนึ่งในอัลบัมชุดนี้ คือ Sally เป็นเพลงที่ Mark Farner เขียนเพื่อคนรักใหม่ของเขา ชื่อเต็มของเธอคือ Sally Kellerman ซึ่งเป็นนักแสดงและนักร้องชาวอเมริกัน ส่วนหนึ่งของเนื้อเพลง Oh little Sally, you know I love you baby. Sally, I said I love you baby. Sally … it’s alright, it’s alright.

Sally ผ่านการแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง อายุมากว่า Mark Farner ถึง 11 ปี (ตอนนั้น Mark Farner อายุ 27 ปี ส่วน Sally Kellerman 38 ปี) แบบนี้ต้องเรียกว่าชกข้ามรุ่น และน่าจะมีความสัมพันธ์กันไม่นานมากนัก เพราะข้อมูลระบุว่าเธอแต่งงานครั้งที่สองเมื่อปี 1980 ก็เป็นอันว่า Mark Farner ของเราต้อง Broken heart อีกแระ



ยุบวงปี 1976 (พ.ศ. 2519)


การที่จะยุบวงหลังจากทำอัลบัมให้ Capital Records ให้ครบตามสัญญาแล้วนั้น เป็นอันว่าชีวิตวงได้ยืดต่อออกไปอีกด้วยการเข้ามาร่วมงานของ Frank Zappa ในฐานะ Producer คนใหม่ และได้ผลิตสตูดิโออัลบัมชุดที่ 11 Good Singin’, Good Playin’ อันเป็นชุดสุดท้ายให้กับ MCA Records วางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม 1976 และ Grand Funk ได้ตัดสินใจยุบวงในปีนั้น

หลังจากยุบวง Mark Farner เริ่มอาชีพการเป็นศิลปินเดี่ยว (solo career) โดยเซนต์สัญญากับค่ายเพลง Atlantic Records ซึ่งได้ออก 2 อับบัมคือ Mark Farner (1977) และ No Frills (1978) ส่วน Don Brewer, Mel Schacher และ Craig Frost ยังอยู่ด้วยกันโดยตั้งวงชื่อ Flint เซนต์สัญญากับค่ายเพลง Columbia Records


สองหนุ่มกลับมารวมตัวกันในปี 1981 – 1983


ปี 1981 (พ.ศ. 2524) ได้กลับมารวมตัวกันใหม่แต่ไม่มี Mel Schacher และ Craig Frost ซึ่ง Dennis Bellinger   ได้เข้ามาแทนที่ Mel Schacher

เดิมทีเดียว Mel Schacher วางแผนที่จะเข้าร่วมด้วย แต่ก็ได้ถอนตัวเมื่อถึงเวลา (สงสัยว่า Mark Farner และ Mel Schacher คือคู่ขัดแย้งหลักในวง) วงได้ออก 2 อัลบัมคือ Grand Funk Lives (1981) What’s Funk? (1983)

ในปี 1983 (พ.ศ. 2526) ก็ได้ยุบวงเป็นครั้งที่สอง Mark Farner กลับไปเป็นศิลปินเดี่ยวตามเดิม และต่อมาก็กลายเป็นศิลปินเพลงคริสเตียน (Christian recording artist) ส่วน Don Brewer และ Craig Frost ไปร่วมงานกับวง The Silver Bullet Band ของ Bob Seger

รวมตัวกันครบทีม สามหนุ่มผู้ปราดเปรียว ในปี 1996


ปี 1996 (พ.ศ. 2539) สามหนุ่มผู้ปราดเปรียว กลับมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาใหม่อีกครั้ง ในช่วง 3 เดือนเล่นดนตรีต่อหน้าผู้ชม 250,000 คนใน 14 ครั้ง

ในปี 1997 แสดงคอนเสิร์ตการกุศลเพื่อชาวบอสเนีย (Bosnian benefit concerts) ภาพลักษณ์ของคอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นการแสดงร่วมกับ symphony orchestra แบบเต็มวง
ซึ่ง Peter Frampton ได้ร่วมแจมบนเวทีด้วย และต่อมาได้ผลิตอัลบัมแสดงสด Bosnia ( 2 แผ่น) และในปี 1999 Mark Farner ได้อำลาจากวง GFR หลังจากที่ทั้งสามคนได้ร่วมทัวร์คอนเสิร์ตมาเป็นเวลา 3 ปี จริงๆแล้ว Mark Farner สัญญาว่าจะร่วมด้วยเพียงปีเดียว แต่เขายังอยู่ร่วมถึง 3 ปีเพราะการกลับมาของสามหนุ่มผู้ปราดเปรียวในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ

แม้ว่า Mark Farner จะอำลาวงไปแล้วก็ตาม แต่ Don Brewer และ Mel Schacher ก็ยังนำพาวง Grand Funk Railroad ย่างก้าวเดินทางต่อไปโดยในปี 2000 รับสมาชิกใหม่ 3 คนคือ นักร้องนำ Max Carl (จากวง .38 Special), มือกีตาร์ Bruce Kulick (ผู้ก่อตั้งวง Kiss) และคีย์บอร์ด Tim Cashion
สมาชิกวงในปัจจุบัน
• Don Brewer – drums, lead vocals (1969–1976, 1981–1983, 1996–present)
• Mel Schacher – bass guitar (1969–1976, 1981, 1996–present)
• Max Carl – lead vocals (2000–present)
• Bruce Kulick – guitars (2000–present)
• Timothy “Tim” Cashion – keyboards (2000–present)

ย้อนกลับไปเรื่องราวเกี่ยวกับอัลบัม Closer to Home

จากที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วว่า
GFR ได้จ่ายเงินถึง $100,000 ให้กับ New York Times Square billboard เพื่อโฆษณาอัลบัม Closer to Home
มาคิดกันเล่นๆว่า $100,000 ในสมัยนั้น (ปี 1970 หรือ พ.ศ. 2513) ถ้าเทียบเคียงกับยุคปัจจุบัน จะมีจำนวนเท่าใด อัตราแลกเปลี่ยนในสมัยนั้น $1 = 25 บาท (ถ้าจำไม่ผิด) ดังนั้น $100,000 คิดเป็นเงินไทยจะเท่ากับ 2,500,000 บาท ช่วงปี 2513 ทองคำบาทละ 400 บาท ดังนั้น เงิน 2,500,000 บาทจะซื้อทองคำได้ 6,250 บาท (น้ำหนักทองคำ) ปัจจุบันทองคำบาทละประมาณ 24,000 บาท ดังนั้น ทองคำ 6,250 บาท จะมีมูลค่าเท่ากับ 150,000,000 บาท (150 ล้านบาท)

เพลงของ GFR ที่รณรงค์เพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อม



ผมคิดว่า Loneliness (จากอัลบัม E Pluribus Funk) น่าจะเป็นเพลงแรกที่รณรงค์เพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังเสนอแนวคิดให้มีการคุมกำเนิดอีกด้วย (But we can’t live without controlling our birth) เพลงนี้ถือว่าเยี่ยมจริงๆ ทั้งเนื้อหาและดนตรี

Loneliness cries deep from my soul,
Keeps trying to tell me about the world growing so cold.
Too many people trying to take from my earth,
But we can’t live without controlling our birth.
Deep inside a voice cries out for you,
It’s not alone ’cause, people, I been cryin’ too.
If we don’t stop what we all see is wrong,
I guarantee you mankind won’t live long.
Chorus
There’s a land, a glorius land,
It’s right here on earth.
Understand what you can from the land,
Your life is it’s worth.
Woah-oh, woah-oh, woah-oh-oh.
Woah-oh, woah-oh, woah-oh-oh.
Woah-oh, woah-oh, woah-oh-oh.
To face the problems that everyone’s found,
We must replace what we took out of the ground.
Pray for your brother, let your soul find a way,
Help one another, oh, please listen to what I say.
Chorus
Loneliness …
Oh …, I can’t get away from loneliness …
Yeah, loneliness … oooo …
Loneliness …
Yeah, loneli- … loneli- … lo- … neliness …
I just can’t get away from loneli- …loneliness …
Yeah, … yeah …
Loneliness …
Can’t get away from loneliness …
Can’t get away from loneliness …
Can’t get away from loneliness …
Can’t get away from loneliness …
Can’t get away from loneliness …
Can’t get away from loneliness …
Can’t get away from loneliness …
Can’t get away from loneliness …
Can’t get away from loneliness …

สารบัญบล็อก

1 ความคิดเห็น: