วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

คนพันธุ์ Rock ออสซี่ ออสเบิร์น

สารบัญบล็อก

ข้อเขียนนี้เป็นของขุนทอง อสุนี นักวิจารณ์ดนตรีชื่อดัง เขียนลงในมติชนสุดสัปดาห์ (น่าจะอยู่ในช่วงปี 2534 – 2535) ผมได้ถ่ายเอกสารเก็บไว้ เอามาเต็มๆเลยไม่มีการตัดส่วนใดออก เพียงแต่ว่าได้เปลี่ยนชื่อสมาชิกวง Black Sabbath ซึ่งต้นฉบับใช้ภาษาไทย (น่าจะพิมพ์ชื่อมือเบสผิด) เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษและเพิ่มเติมวันเดือนปีเกิดของแต่ละคน

เหลือบตาดูนาฬิกาหลัง T.V. บ่งเวลาเที่ยง นี่ผมคงไปไม่ทันอาหารเที่ยงที่มติชนอีกเหมือนเคย และก็มีงานเขียนต้องทำให้เสร็จทันเวลา คราวนี้ขอย้อนอดีตไปสู่ผู้สร้างตำนานของ Heavy Metal หรือที่ผู้คนในแวดวงร็อกขนานนามเขาว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งดนตรีเฮฟวี่

เอ่ยถึงนามนี้ ถ้าคอเฮฟวี่ไม่รู้จักก็สมควรตาย แต่สำหรับประชาชนโดยทั่วไปอาจจะไม่คุ้นเคยชื่อ Black Sabbath เคยผ่านหูท่านบ้างไหม? เอาเถอะ ผมเพียงแต่อยากเล่าเรื่องของเขาให้ฟังว่าชีวิตของนักดนตรีร็อกนั้น มันเอาแค่อ่านกันมันส์ๆก็แล้วกัน

เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้มาจากวิดีโออัตชีวประวัติของ Mr. Mad Man ที่ผมเคยชื่นชอบในอดีต (แม้ในปัจจุบัน) ออสซี่ ออสเบิร์น นักร้องนำวง Black Sabbath ใช้ไตเติ้ลว่า “Don’t Blame Me” (The Tales of Ozzy Osbourne) หาซื้อจาก REX RECORD ที่คอเพลงหรือหนังนอกคุ้นเคยกันดี

ทำไม ผมต้องเขียนถึง ออสซี่? อาจบอกได้ว่า เขาเป็น Rock Group วงแรกที่ผมไปซื้อแผ่นเสียงมาฟัง ความจริงก็ไม่เชิงหรอก แต่เป็นวงเฮฟวี่เมทัลวงแรกที่มีพลังอำนาจลึกลับ นำคุณเข้าสู่ภวังค์แห่งดนตรีที่เต็มไปด้วยพลังอัดแน่นต่างหาก

ความบ้าคลั่งของหนุ่มคนนี้ (ปัจจุบันลูก 3) เป็นตำนานที่ต้องกล่าวขานกันไปอีกนาน (สำหรับท่านที่ไม่สนใจดนตรีแนวนี้หรือผ่านวัยมาแล้วก็ถือว่าอ่านเอาเพลินก็แล้วกัน) โดยเฉพาะในปัจจุบันอัลบั้มชุดล่าสุดของออสซี่ No More Tears ก็ยังยืนหยัดพลังอันกล้าแกร่งไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม เขาเป็นนักร้องเพลงเฮฟวี่ที่คุณภาพเสียงไม่เคยเปลี่ยนแปลง น่าทึ่งจริงๆ

Black Sabbath เป็นวงจากอังกฤษ เริ่มก่อตัวขึ้นในปี 1969 ประกอบด้วย
  1. Guitar, Anthony "Tony" Iommi (Birthday. Feb 19, 1948)
  2. Drum, William "Bill" Ward (Birthday. May 5, 1948)
  3. Bass, Terence "Geezer" Butler (Birthday. Jul 17, 1949)
  4. Vocals, John "Ozzy" Osbourne (Birthday. Dec 3, 1948)


มีพื้นฐานมาจากดนตรีบลูส์ เล่นกันอยู่ในละแวกเบอร์มิงแฮม ข้อสังเกตก็คือ ดนตรีประเภท 3 ชิ้นนี้ นักดนตรีแต่ละคนต้องเล่นประสานกันได้เหนียวแน่น ไม่งั้นจะเบาโหวง หรือไม่ก็เล่นกันดังสุดขีดนั่นแหละถึงจะเอาอยู่

ทำไมถึงชื่อ Black Sabbath ฟังแล้วบรรยากาศมันผีๆชอบกล ความจริงวงนี้เริ่มแรกใช้ชื่อว่า Earth แต่สถานที่ซ้อมดนตรีของพวกเขานั้น อยู่ตรงข้ามกับโรงหนังเก่าๆโรงหนึ่ง ซึ่งชอบฉายหนังผีเป็นประจำ ทางวงเห็นว่าคนชอบดูหนังผีกันมาก ถ้าใช้ชื่อวงแบบผีๆ คงจะมีคนสนใจ ชื่อวงจึงมาจากชื่อหนังผีเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นโปสเตอร์ปิดหน้าโรงหนังนั่นเอง (ภาพยนตร์เรื่องนั้นชื่อ Black Sabbath นำแสดงโดย Boris Karloff)

จากคอนเซ็ปต์นี้เอง แนวดนตรีของ Black Sabbath จึงออกมาแนวผีๆ เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เริ่มจากอัลบั้มชุดแรก Black Sabbath แต่มาประสบความสำเร็จอย่างแรงในอัลบั้มชุดที่สอง (Paranoid) ซึ่งดังข้ามทวีปไปถึงอเมริกาทีเดียว เพลงฮิตที่หลายท่านอาจคุ้นเคย และวงเฮฟวี่ในบ้านเราชอบเล่นกันมาก นอกจาก Paranoid แล้ว ก็มี Iron Man (สองเพลงนี่อมตะจริงๆ) นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเพลงที่น่าสนใจ เช่น War Pigs, Electric Funeral จะว่ากันไปแล้ว งานชุดนี้จัดเป็น Master-Piece ของวงการเฮฟวี่จริงๆ

ที่ผมชื่นชอบมากก็มี 3 ชุดแรกนี่แหละ ชุดที่ 3 Master of Reality ก็จัดเป็นงานระดับ Classic เช่นกัน และที่เหลือคือ ตำนานที่เฮฟวี่รุ่นใหม่ต้องศึกษาทั้งสิ้น จุดเด่นของวง Black Sabbath ก็คือเสียงร้องของออสซี่ที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร และสำเนียงกีตาร์ของโทนี่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมกันแล้วเป็น Black Sabbath Sound ที่เป็น Original กฎเหล็กที่สำคัญที่สุดคือ เอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำแบบใครจะนำมาซึ่งความสำเร็จ (ไม่ช้าก็เร็ว)

พวกเขาเริ่มจากเด็กจนๆ ที่ไม่อยากทำงานในโรงงาน อดอยาก หิวโซ เป็นเด็กข้างถนน จะมีก็แต่ บิล วาร์ด (มือกลอง) เท่านั้นที่ทางบ้านฐานะค่อนข้างดีหน่อยคือ แม่เป็นเจ้าของร้าน พอมีเงินจุนเจือให้ลูกชายไปซ้อมดนตรีกํบเพื่อนๆได้ ในวัยเด็กของออสซี่ เขาเคยฝันจะเป็นช่างทำส้วมเสียด้วยซ้ำไป

อาชีพนักดนตรีนั้นดูเหมือนสบาย แต่จริงๆแล้ว ก็ต้องใช้เวลาฝึกซ้อมกันอย่างหนัก ทุกคนผ่านความยากลำบากมาแล้วทั้งสิ้นกว่าจะฟันฝ่าขึ้นไปถึงถนนแห่งความสำเร็จ ถึงจะเหนื่อยแต่ก็คุ้ม ทุกคนใช้ชีวิตกันอย่างสุดสุด สุรา นารี ดนตรี และเงินตรา ดูจะถั่งโถมกันเข้ามา แต่ถ้าไม่รู้จักใช้ชีวิต จากที่เคยรุ่งเรืองสุดขีดก็อาจจะกลายเป็นสุนัขข้างถนนไปก็ได้ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นกับมือกลองวง Kiss มาแล้ว

วง Black Sabbath เริ่มจากดนตรี Rock และ Blues พวกเขาเคยเล่นเพลงของคนอื่นเหมือนกันนั่นรวมถึง Blue Suede Shoe ด้วย เมื่อพวกเขา Tour อเมริกา Black Sabbath เปิดการแสดงอาทิตย์ละ 7 วัน วันละ 2 show นั่นเป็นการทำงานหนักอย่างบ้าคลั่ง การทำงานท่ามกลางความกดดัน ก็ต้องหาทางระบายออกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ส่วนมากก็หนีไม่พ้นเรื่องเมา และ Fuck & Suck Business ออสซี่ถึงกับบอกว่า “we’re fuckin’ a wild bunce, we smoking dope & fuck everything that move”

การแสดงของวงร็อก ทุกคนปรารถนาให้แฟนเพลงชื่นชอบ โดยเฉพาะดนตรีร็อกถ้าคนนั่งกันเฉยๆ คนเล่นก็พลอยเซ็งไปด้วย การแสดงคอนเสิร์ตของวง Black Sabbath ในนิวยอร์ค บิล วาร์ด รู้สึกอึดอัดที่เห็นผู้ชมนั่งกันนิ่ง สิ้นสุดการแสดง เขาถึงกับโยนกลองใส่คนดู นั่นแหละจึงจุดชนวนให้คนดูลุกขึ้นมาโห่ร้องอย่างสะใจ พวกเขาออกมาเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกจาก Encore ถึง 7 หน นั่นคือความสำเร็จในอเมริกา

สำหรับออสซี่ เขากล่าวว่า สิ่งที่เขาชื่นชมที่สุดคือ การยอมรับจากพ่อแม่ ตอนเป็นนักเรียนออสซี่เรียนไม่ค่อยดีนัก หันมาเอาดีทางดนตรี พ่อเขาหวังเพียงไม่ให้ลูกชายไปทำผิดติดคุกก็พอแล้ว สิ่งที่จะพิสูจน์ให้พ่อแม่เห็นก็คือ วงของเขาได้รับความสำเร็จเป็นที่ยอมรับของประชาชน และหนทางที่จะวัดก็คือยอดขายของแผ่นเสียง

หลังจาก Tour America อัลบั้มชุด Paranoid ก็ได้รับแผ่นเสียงทองคำ นั่นคือ Achievement ที่ทำให้พ่อของออสซี่ภูมิใจเป็นนักหนารวมทั้งตัวเขาด้วย ดนตรีเฮฟวี่ในยุคนั้นก็ใช่จะเกิดกันง่ายๆเหมือนกัน

เห็นจะต้องเล่าต่อกันในฉบับหน้าแล้วครับ

สารบัญบล็อก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น